วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดวงไฟในสายฝน 2

ทันทีที่ มุฑิตาผลักบานประตูกระจกใสเข้ามาใน ‘ร้านไออุ่น’ ชายวัยกลางคนในชุดสูทแบบนักธุรกิจผู้นั่งในร้านอยู่ก่อนก็ตรงเข้าทักทายพร้อมทั้งอุ้มเด็กหญิงวัยหกขวบหน้าตาบ้องแบ๊วที่มุฑิตาจูงมาด้วย ไปหอมแก้มซ้ายขวาอย่างแสนรัก “คุณครูมาตรงเวลาดีจังครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลน้องดาวให้”สาเหตุที่ทำให้มุฑิตาต้องมาย่านนี้ก็เพราะเธอต้องพาเด็กหญิงดวงดาวมาประกวดสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆ หลังจากกล่าวทักทายตามมารยาทและคิดว่าจะขอตัวกลับเสียที ผู้ปกครองเด็กหญิงดวงดาวก็เอ่ยปากด้วยท่าทีขัดเขิน “คุณครูทานอะไรหน่อยนะครับ ผมเป็นเจ้าภาพเอง แหะๆ คือ….ความจริงผมมีเรื่องอยากรบกวน….”แล้วหน้าที่ของครูที่ควรจะสิ้นสุดเมื่อได้ส่งตัวเด็กให้ผู้ปกครองอย่างปลอดภัยก็ทำท่าจะมีโอเวอร์ไทม์ เมื่อผู้ปกครองชี้แจงว่ากำลังคุยติดพันกับลูกค้าอยู่ในร้าน ไม่สามารถปลีกตัวกลับตอนนี้ได้ ขอร้องให้คุณครูช่วยอยู่ดูแลลูกสาวไปพลางๆ แม้งานเกินเวลานี้จะไม่มีค่าตอบแทนเช่นพนักงานบริษัททั่วไปแต่มุฑิตาก็ไม่ปฏิเสธเนื่องด้วยว่าภายในร้านมีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะแม้จะพอมีเก้าอี้ว่างแต่ก็ต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นอยู่ดี หลังจากกวาดตามองรอบร้านคร่าวๆครูสาวจึงตัดสินใจพาลูกศิษย์มานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุดเพราะเห็นมีผู้ชายท่าทางเหมือนจะไม่สนใจอะไรในโลกนั่งอยู่เพียงคนเดียวบริกรหน้าตี๋ยิ้มแย้มเข้ามารับรายการอาหาร ลูกศิษย์ตัวน้อยสั่งโกโก้เย็นส่วนหญิงสาวสั่งนมเย็นธรรมดากับคุ๊กกี้เมล็ดดอกทานตะวัน คิดในใจว่าไม่กล้าสั่งเยอะกลัวเจ้าภาพจะไปค่อนแคะภายหลังว่าเธอเห็นแก่กิน“ครูมุขา ดอกทานตะวันเป็นยังไงคะ? แล้วทุ่งทานตะวันล่ะคะ” หลังจากที่บริกรยกคุ๊กกี้เมล็ดทานตะวันมาเสริฟ หนูน้อยก็เริ่มยิงคำถาม“ทานตะวันเป็นดอกไม้กลมๆใหญ่ๆค่ะเมล็ดนำมาทานได้ในคุ๊กกี้นี่ก็มี เมล็ดจะอยู่รวมกันตรงกลางเป็นวงกลมแล้วก็ล้อมรอบด้วยกลีบดอกที่เรียวยาว ปลูกมากแถวจังหวัดสระบุรี ลพบุรี บานประมาณช่วงปลายพฤศจิกายนถึงต้นกุมภาพันธ์ ทุ่งดอกทางตะวันกว้างมาก กว้างกว่าน้องดาวกางแขนสองมือเป็นร้อยเท่าเลย” ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามแม้จะนั่งเงียบหากยังได้ยินเสียงแจ๋วๆของเด็กหญิงวัยหกขวบกับเสียงเย็นๆของครูสาว แล้วก็อดสงสารไม่ได้ โธ่!แม่หนูน้อยคงอยู่แต่ในกรุงเทพไม่ได้ออกต่างจังหวัด“กลมๆเหมือนลูกฟุตบอลเหรอคะ?” หนูน้อยยังคงยิงคำถามต่อ“ไม่เหมือนจ๊ะ ดอกทานตะวันไม่ได้กลมกลิ้งได้แบบนั้น แต่กลมๆแบนๆต่างหาก เหมือนหมอนแบนๆไงคะ” มุฑิตา พยายามอธิบายโดยหยิบยกสิ่งที่เด็กหญิงคุ้นเคย“พี่มีรูปทุ่งทานตะวันพอดีเอาไปดูซิครับ เก็บไว้เลยก็ได้ไม่ต้องคืน” แล้วบุคคลที่สามผู้เผอิญนั่งร่วมโต๊ะอยู่ก่อนก็เปิดกระเป๋าเงินพร้อมทั้งหยิบรูปถ่ายทุ่งทานตะวันใบเล็กๆยื่นให้“ขอบคุณมากค่ะ แต่คงรับไม่ได้หรอกค่ะ คุณเอาคืนไปเถอะ” มุฑิตาตัดสินใจปฏิเสธ หลังจากใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีตรึกตรอง รูปถ่ายที่เก็บในกระเป๋าสตางค์คงเป็นรูปสำคัญ แว๊บไปเห็นนางแบบสาวสวยกลางทุ่งทานตะวันในรูปแล้วก็ออกจะเกรงใจ สงสัยจะเป็นรูปแฟน แล้วเที่ยวเอามาให้ใครเขาทั่วแบบนี้ ถ้าแฟนรู้เข้าจะไม่น้อยใจหรือ“ขอบคุณมากค่ะ แต่น้องดาวมองไม่เห็นหรอกค่ะ น้องดาวตาบอด” เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเสียงใสตัดกับความหมายของข้อความ“คือน้องดาวแกตาบอดมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ” ฝ่ายคุณครูเห็นชายหนุ่มผู้มีน้ำใจเบิกตากว้างทำหน้างุนงงเลยอธิบายเสริม“อ้าวเหรอครับ พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจ…” พงศ์ประภานึกเสียใจจริงๆ ที่ไปจี้จุดเด็กหญิงเข้าให้ แม้จะไม่เห็นหนูน้อยสลดก็เถอะ ลองพิจารณาไปที่ตาใสๆของแม่หนู เอ้อ...ถ้าจะจริงแฮะ แต่ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าตาบอด“ครูมุขา แล้วที่เขาว่ามัน ส๊วย สวย เป็นยังไงเหรอคะ ” หนูน้อยยังคงถามทั้งที่ปากเคี้ยวคุ๊กกี้ตุ้ยๆ ทำให้พงศ์ประภายิ่งนึกเวทนา ตาบอดตั้งแต่เกิดแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าความสวยมันเป็นอย่างไร แต่ในไม่นานเขาก็ต้องตะลึ่งกับวิธีอธิบายความสวยของดอกทานตะวันที่แปลกประหลาดที่สุดเริ่มแรกหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าครูมุกล่าวขอยืมจานรองถ้วยกาแฟร้อนของเขา เอาไปให้เด็กหญิงลูบคลำ “น้องดาวลองจับนี่ดูนะคะ ดอกทานตะวันกลมๆแบนๆแบบนี้ ไม่ใช่กลมแบบลูกบอล” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะนึกออกอย่างนั้นแหละ“เวลาเรามองแล้วเห็นดอกทานตะวันบานเต็มทุ่งจะให้ความรู้สึกสดชื่น เหมือนเวลาน้องดาวดื่มน้ำหวานๆเย็นๆไงคะ” แล้วครูสาวก็หยิบหลอดที่แช่ในโกโก้เย็นของเด็กหญิงใส่ปากหนูน้อยเพื่อให้ดูดสะดวก “เป็นไงคะ ชื่นใจไหม”“ชื่นนนนนน จายยยยย ค๊ะ” หนูน้อยตอบร่าเริง“ดอกทานตะวันมีสีเหลืองเลยทำให้มันเหมือนพระอาทิตย์ที่มีหน้าที่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างแก่คนบนโลก เวลาเราเห็นดอกทานตะวันเราจะรู้สึกอบอุ่นและมีความหวังเสมอ” คราวนี้อาจารย์สาวเอามือข้างหนึ่งกุมมือน้อยๆของลูกศิษย์อย่างทะนุถนอม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กๆอย่างอ่อนโยน “เหมือนกับที่ครูเพื่อนๆแล้วก็พ่อแม่ของน้องดาวคอยเอาใจช่วยน้องดาวเวลาประกวดสุนทรพจน์ไงคะ ไม่ว่าน้องดาวจะชนะหรือไม่ก็ตาม ขอแค่น้องดาวทำให้ดีที่สุดก็พอ เมื่อทำดีที่สุดแล้วสักวันน้องดาวก็จะสมหวังอาจไม่ใช่ครั้งนี้แต่ก็ยังมีครั้งหน้า”“น้องดาวชอบดอกทานตะวันจังเลยค่ะครูมุ ส๊วย สวย” แม่หนูหลับตาพริ้มยิ้มละไมเหมือนกับกำลังฝันเห็นดอกทานตะวันจริงๆ “ที่น้องดาวว่าสวย สวยแบบไหนครับ” หลังจากที่นั่งนิ่งๆฟังคำอธิบายของครูสาวมานาน พงศ์ประภาก็เอ่ยขึ้นบ้าง “สวยเพราะทำให้สดชื่น แล้วก็ทำให้ไม่กลัวไงคะ”“ไม่กลัวอะไรครับ?”“ไม่กลัวที่จะตาบอด แล้วก็ประกวดพูดแพ้” หนูน้อยตอบใสซื่อก่อนจะก้มดูดโกโก้เย็นอีกครั้ง แต่คำตอบแบบง่ายๆของเด็กหญิงกลับกระทบใจคนถาม จริงซิ…บางทีคนตาบอดอาจเห็นอะไรมากกว่าคนตาดีก็ได้“ความสวยของคนที่มองไม่เห็นต่างกับคนที่มองเห็นค่ะ ในเมื่อแกไม่สามารถใช้สายตาได้เราจึงต้องพยายามให้แกใช้ความรู้สึกสัมผัสเอา” ครูสาวอธิบายเพราะนึกว่าชายหนุ่มคงสงสัยกับวิธีการสอนของตัว“ถ้าเป็นแบบที่คุณครูอธิบาย ก็หมายความว่าคนตาบอดใช้ประสาทสัมผัสทางใจได้ดีกว่าคนตาดีที่มักจะดูเพียงรูปภายนอก แต่ไม่มองให้ลึกถึงข้างใน”“พี่ว่าครูมุของน้องดาวสวยไหมคะ?” จู่ๆ เด็กหญิงก็ถามขึ้น เล่นเอามุฑิตาหน้าแดง จะไม่แดงได้ยังไงล่ะก็ผู้ชายตรงหน้าออกจะดูดี ส่วนตัวเองทั้งเชยเฉิ่มหน้าตาก็จืดชืด แล้วยัยลูกศิษย์แก่แดดยังไปถามเขาแบบนั้นอีก“น้องดาวอย่าไปจู้จี้พี่เขามากซิคะ” ครูสาวดุลูกศิษย์แก้เก้อพลางหยิบคุกกี้ป้อนใส่ปากเด็กหญิงซะเลยจะได้ไม่พูดมาก
พงศ์ประภารู้ทันว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังเขิน พวงแก้มเนียนที่ไร้เครื่องสำอางแดงระเรื่อ นึกอยากจะนั่งพิจารณาความสวยของเธอ แต่ครั้นจะมองนานก็กลัวครูมุของน้องดาวจะเขินไปกันใหญ่ ชายหนุ่มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว “แล้วน้องดาวว่า ครูมุของน้องดาวสวยไหมล่ะครับ” ในเมื่อไม่กล้าตอบคำถามหนูน้อยเลยอ้อมๆถามคืนซะเลย“ครูมุสวยที่สุดเลยค่ะ ใจดี๊ดี สวยกว่านางงามด้วยนะคะ”“ครูจะสวยกว่านางงามได้ยังไงคะ น้องดาวเหลวไหลใหญ่แล้ว” ว่าแล้วก็อยากหยิกแม่ลูกศิษย์ตัวแสบนักเชียว นึกถึงรูปแฟนสาวของเขาที่ความสวยของเธอคนนั้นนำลิ่วไปแบบไม่เห็นฝุ่น ก็แสนจะขายหน้า“ครูพูดชัดกว่า เสียงหวานกว่า แล้วก็ใจดีกว่า อย่างพวกที่ประกวดนางงามที่ชอบบอกว่ารักเด็ก แต่น้องดาวไม่เห็นรู้สึกเลยว่าเขารักน้องดาว เคยมีนางงามมาที่โรงเรียนด้วยนะคะพี่มากอดๆหอมๆอยู่วันนึง แล้วก็ไม่มาอีกเลย“น้องดาวมองไม่เห็นเขา ก็เลยไม่รู้ซิคะว่านางงามสวยขนาดไหน ครูมุน่ะไม่สวยหรอกค่ะ”“แต่ผมว่าน้องดาวแกพูดถูกแล้วนะครับ เพราะน้องดาวมองความสวยไม่เหมือนที่คนปกติมอง ครูมุที่ใจดีกับแกก็เลยเป็นคนสวยในความคิดแกไงล่ะครับ” ตอบไปแบบนี้คงดีที่สุดแล้วนะ เธอคนนั้นจะได้ไม่เขิน เอาเป็นว่าเราเห็นด้วยกับน้องดาวที่ชมว่าครูสวย เราไม่ได้พูดเองซะหน่อยนี่ความจริงแม้คุณครูคนนี้จะดูตกสมัยไปบ้างทั้งการแต่งตัวที่แสนมิดชิด กริยารักนวลสงวนตัวเหมือนหญิงไทยโบราณ แต่ดวงหน้าเนียนกับตาซื่อใสไร้สารเคมีพร้อมร่างเล็กๆที่ไม่ได้ผอมจนเหมือนขาดสารอาหารแบบที่คนสมัยนี้นิยมกัน ทำให้พงศ์ประภาอดนึกไม่ได้ว่าถ้าเธอคนนี้ห่มสไบเฉียงแล้วบอกว่าอยู่ยุคเดียวกับ แม่พลอยแห่ง สี่แผ่นดิน นะ ใช่เลย!ฝ่ายมุฑิตากลับตีความคำพูดของชายหนุ่มไปอีกแบบหนึ่ง อ๋อ นี่เขาคงจะบอกเรากลายๆ แบบสุภาพว่า อย่างเราน่ะสวยได้แค่ในสายตาของคนตาบอดเท่านั้น ใช่ซิก็ตัวเองมีแฟนสวยนี่ ว่าแล้วครูสาวก็เผลอขวางค้อนไปโดยไม่รู้ตัวทั้งคนขวางและคนรับ“น้องดาวกลับบ้านกันเถอะลูก” เหมือนมีระฆังหมดยก เมื่อพ่อของลูกศิษย์เสร็จธุระมารับตัวลูกสาวคืน ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะตอนนี้มุฑิตารู้สึกว่าใจเต้นแรงพิกล หน้าก็ร้อนๆเย็นๆ ถ้าต้องนั่งเผชิญหน้ากับคนคนนี้ต่อก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี“เย็นแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งคุณครูนะครับ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยดูแลน้องดาวให้” แล้วคุณพ่อของเด็กหญิงดวงดาวก็จัดการชำระเงินกับบริกรระหว่างที่รอเงินทอนเด็กหญิงกระพุ่มมือไหว้พร้อมกล่าวอำลาชายหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย “น้องดาวกลับบ้านก่อนนะคะพี่ ขอบคุณมากค่ะที่ให้น้องดาวนั่งด้วย”“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ….แล้ว...น้องดาวจะมาที่นี่อีกไหมครับ” พลั้งปากไปแล้วพงศ์ประภาก็ละอายกับคำถามแบบงี่เง่าของตัวเอง เด็กที่ไหนจะรู้จักมาร้านกาแฟ ถ้าไม่มากับผู้ใหญ่“ถ้าน้องดาวเข้ารอบอีกสองวันก็ต้องมาแข่งอีกค่ะ ใช่ไหมคะครูมุ?”“แหะๆ ถ้าน้องดาวเข้ารอบ ผมคงต้องรบกวนคุณครูมาช่วยดูแกหน่อย ผมจะเอาแกมาส่งที่มอ. เหมือนวันนี้นะครับ แล้วตอนเย็นก็จะมารับกลับที่นี่ ไม่อยากขับรถเข้าในมอ. หาที่จอดยาก”“ไม่เป็นไรค่ะ” มุฑิตายิ้มรับ นักธุรกิจก็อย่างนี้งานยุ่งตลอด แต่เด็กหญิงดวงดาวก็ยังโชคดีกว่าเด็กพิเศษคนอื่นๆตรงที่พ่อกับแม่มีฐานะและเอาใจใส่ลูกดี ตอนนี้คุณแม่เพิ่งคลอดน้องคนใหม่เลยมาดูแลลูกเองไม่ได้ ยังมีลูกศิษย์คนอื่นๆที่พ่อแม่เห็นว่าความผิดปกติของลูกเป็นเรื่องอับอาย งานของมุฑิตาไม่เพียงช่วยเหลือเด็กพิเศษเหล่านี้ให้อยู่ร่วมกับคนในโลกปกติได้เท่านั้น ยังต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ปกครองเด็กอีกด้วย เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ก็อิ่มใจเมื่อได้เห็นเด็กๆที่เกิดมาโชคร้ายกว่าคนอื่นมีรอยยิ้มหลังจากที่ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสองได้จากไปพงศ์ประภาก็กลับมาให้ความสนใจกับเอสเปรสโซ่แก้วเล็ก ตอนนี้มันเริ่มจะเย็นเพราะเจ้าของมั่วแต่เพลินคุยเพลินฟัง ยกขึ้นมาจิบ เอ๊ะ! ทำไมวันนี้มันขมจังหรือเพราะมันเย็น ว่าแล้วชายหนุ่มก็เรียกบริกรมาเอาไปทำให้ร้อนดีกว่า“ทำให้ร้อนน่ะได้ครับแต่ความหอมและสดของมันจะหายไป ถ้าคุณไม่รังเกียจผมจะยกไปอุ่นให้” บริกรอธิบาย“ไม่เป็นไร คือผมรู้สึกว่ามันขมๆ เผื่อร้อนแล้วจะดีขึ้น ขอน้ำตาลด้วยนะครับ” “เอ! ความจริงเอสเปรสโซ่ร้อนที่คุณสั่งก็เป็นสูตรนี้ทุกครั้งนี่ครับ หรือว่าคุณจะเบื่อ ถ้าอยากดื่มแบบหวานบ้างขมบ้างขอผมแนะนำ seasons change ครับ เป็นเมนูแนะนำเราเพิ่งคิดขึ้นมา คือตรงก้นแก้วจะเป็นนมข้น แล้วเอสเปรสโซ่จะอยู่ด้านบน เวลาทานไม่ต้องคนนะครับ ดื่มไปเรื่อยๆพอเหลือนมข้นก็เอาปาท่องโก๋จิ้ม เราจะเสริฟพร้อมปาท่องโก๋น่ะครับ เอาเป็นผมจะไม่คิดราคาเพิ่ม เพราะเดี๋ยวเอาแก้วนี้ไปทำให้ได้ครับ”เมื่อพงศ์ประภาตอบตกลงสักพักบริกรก็นำกาแฟมาเสริฟด้วยแก้วใสทรงตรง ชั้นล่างสุดเป็นสีขาวข้นของนม ตรงกลางออกเป็นสีน้ำตาลเพราะเป็นส่วนที่นมกับกาแฟเจอกัน ด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนออกดำของเอสเปรสโซ่เพื่อนเก่าชายหนุ่มเริ่มละเลียดกำแฟขมด้านบน จากนั้นรสกาแฟก็เริ่มหวานขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งน้ำกาแฟหมดเหลือนมข้นข้างล้าง แล้วพงศ์ประภาก็เอาปาท่องโก้มาจิ้ม รสหวานมันโดดเด่นทำให้นึกไปถึงกาแฟโบราณของพวกอาแปะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมมันจึงมีชื่อว่า seasons change ก็เพราะในหนึ่งแก้วมีกาแฟสามรสด้วยกัน เริ่มจากกาแฟดำ แล้วก็กาแฟใส่นม จากนั้นก็นมหวานๆ บางทีเจ้านี่อาจเลื่อนมาเป็นแก้วโปรดที่เขาจะสั่งอย่างน้อยก็ในอีก 2 วันข้างหน้า…เมื่อได้เวลาชายหนุ่มก็ออกจากร้านไปด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาบริกรหน้าตี๋ถึงกับงงแอบซุบซิบกับคนชงกาแฟ “เฮ้ย รุตต์ สงสัย seasons change สูตรที่แกคิดจะขายดีว่ะ ทำเอาพี่หน้าหล่อ ที่ชอบทำหน้าขมยิ่งกว่าเอสเปรสโซ่ ยิ้มได้ เจ๋งไปเลย….”



bloggang.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น