วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดวงไฟในสายฝน 1




แม้สายฝนภายนอกโปรยปรายลงมาไม่ขาดตอน หากภายใน ‘ร้านไออุ่น’ ยังคงมีแขกนั่งประปราย ชายวัยกลางคนสองคนจับจองที่นั่งตรงโต๊ะกลางร้านพร้อมกาแฟดำกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างเบาๆ เด็กสาวในเครื่องแบบนักศึกษาคู่หนึ่งคุยกันกระหนุงกระหนิงเคล้าไอศครีมอยู่โต๊ะริมหน้าต่างค่อนมาทางประตู หญิงสาวในชุดทำงานนั่งโต๊ะถัดมาเพลิดเพลินกับคาปูชิโน่ปั่นและหนังสือเล่มเล็กๆและชายหนุ่มในเชิ๊ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดละเลียดเอสเปรสโซ่ร้อนที่โต๊ะริมหน้าต่างมุมในสุดบริกรในชุดฟอร์มพร้อมเอี๊ยมกันเปลื้อนสีสุภาพยืนคอยให้บริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้เหนื่อย ทั้งยังมีเสียงนุ่มราวฟองนมของดีเจหนุ่มจากคลื่นวิทยุยอดนิยมทำให้บรรยากาศในร้านกาแฟเล็กๆไม่เงียบเหงาเกินไป“ฝนตกอีกแล้วนะครับ เรามาฟังเพลงเข้ากับบรรยากาศกันดีกว่า...แหม! ไม่รู้ทำไมฝนตกทีไรผมนึกถึงเพลงนี้ทุกที”ทันทีที่เสียงทุ้มหายไปดนตรีอินโทรซึ้งๆก็ค่อยๆกังวาล...พร้อมๆกับท้องฟ้าภายนอกทวีความดุดันผู้คนวิ่งกันจ้าละหวั่นเมขลาคงเริ่มล่อแก้วอีกเช่นเคย แล้วรามสูรก็ขว้างขวาน...เปรี้ยง!ในเวลาเดียวกันนั้นเองหญิงสาวร่างระหงในชุดกระโปรงสีแดงกำมะหยี่เนื้อผ้าและรูปแบบบ่งบอกถึงความมีรสนิยมและราคาที่แพงลิ่วก็ปรากฏกายขึ้น เธอผลักประตูกระจกเข้ามาในร้านอย่างเร่งรีบพลางสำรวจไปรอบๆเหมือนจะมองหาใคร ผู้มาใหม่ทำให้ทุกคนในร้านจ้องตะลึงด้วยความงามที่ดอกไม้ได้ฝนยังสะท้านอาย ผิวผ่องนวลเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ วงหน้ารูปไข่โค้งละมุนถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางเนื้อละเอียดเน้นให้ดวงหน้าที่มีโครงสร้างได้รูปอยู่แล้วผุดผาดยิ่งขึ้น ยังดวงตาหวานซึ้งที่กำลังสอดส่ายไปทั่วร้านจนกระทั่งหยุดที่ โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด แล้วเธอก็เริ่มเดินไปที่นั่นอยากจะลืมใครสักคน เมื่อหยาดฝนพร่างพรมพริ้วมา สายน้ำที่ร่วงหล่น ปนเคล้าหยาดน้ำตา กลับไปคิดถึงคราแรกที่เราพบกัน“สงสัยมาหาผู้ชายคนนั้น” หนึ่งในนักศึกษาสาวพึมพำบอกเพื่อนริมฝีปากอิ่มรูปกระจับแย้มยิ้มทำให้นัยน์ตาคมสวยพลอยวาวระยับ เสียงฟ้าร้องขาดหายไปไม่แน่รามสูรอาจจะเปลี่ยนใจจากลูกแก้วของนางเมขลามาหลงใหลดวงดาวระยิบทั้งคู่ของเธอคนนี้“ขอโทษทีนะ โคม พอดีฝนตกรถเลยติด ม๊าก มาก คงไม่ว่ากันนะจ๊ะ” เสียงหวานใสที่มีกระแสเว้าวอนนั่นทำให้หัวใจบุรุษในร้านไออุ่นทั้งแขกและบริกรหวั่นไหว ต่างลงความเห็นโดยไม่นัดหมายว่า ใครหนอจะโกรธสาวงามคนนี้ได้ลงคอมรสุมที่หาดสีทอง นำเราสองให้ปองรักกัน ฟ้าคำรามเธอกลัว ตัวของเราหนาวสั่น สื่อดวงตาสัมพันธ์ อบอุ่นนักสองเรา“พลอยคงไม่รบกวนเวลาของโคมมากนักหรอกแค่อยากให้โคมช่วยรับนี่ไว้หน่อย”หลังจากที่เอาแต่นั่งนิ่งชายหนุ่มในเชิ้ตขาวผู้ถูกเรียกว่าโคมก็ค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมองหญิงสาวเบื้องหน้าแล้วมองเลยไปยังสิ่งที่เธอผู้นั้นส่งให้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อะไร?”“เอ่อ...โคมดูเองดีกว่านะ”


ความรักเราเคยสดชื่น แล้วใยแปรเป็นอื่น เหลือแต่ความขื่นขมระทม เมื่อลมพายุหอบฝนมา เธอไม่ยอมบอกเหตุผลใดๆ ปล่อยฉันไว้กลางฝนหลังจากพิจารณาสิ่งนั้นแล้วโคมก็ตั้งคำถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม “เอามาให้ทำไม?”“เพราะโคมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพลอยน่ะซิจ๊ะ พลอยอยากเห็นโคมในวันนั้น” ดวงหน้าหวานยังคงยิ้มพรายมาบัดนี้ยามฟ้าสีหม่น ราวกับดลให้ตรมฤทัย รู้เป็นเพียงอากาศ แต่ไม่อาจห้ามใจ อยากมีเธอชิดใกล้ แต่เธอคงไม่คืน เปรี้ยง! เสียงอสนีบาตฟาดฟันมาอีกครั้ง คราวนี้แผลงฤทธิ์ให้ไฟฟ้าในร้านดับพรึบ“ว้าย! ตายแล้ว พลอยไม่ชอบเลย ฝนตกลมแรงแล้วมืดๆ แบบนี้”“หึ! เหมือนตอนเราเจอกันครั้งแรกที่คณะไง ฝนตก ไฟดับ ดึกกว่านี้อีก นี่แค่โพล้เพล้เอง” คราวนี้ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดเป็นแนวตรงเหมือนจะยิ้มแต่หากมีแสงสว่างกว่านี้จะเห็นว่ามีรอยเย้ยหยันสะท้อนในแววตา“รับนี่ไปแทนก่อนนะครับ เจ้าหน้าที่ไปดูแล้ว เขาว่าแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ติด ระบบตัดไฟตกใจเสียงฟ้าผ่ามั้งครับ” บริกรหนุ่มหน้าทะเล้นพูดติดขำขันหวังให้ลูกค้าอารมณ์ดีขึ้น พร้อมทั้งวางโถแก้วที่มีเทียนดอกกุหลาบสีแดงเข้มลอยน้ำไว้กลางโต๊ะร้านไออุ่นจึงได้อาศัยแสงเทียนจากโถแก้วที่ถูกนำไปวางไว้ตามโต๊ะและมุมต่างๆทั่วร้าน แม้ไม่ถึงกับจัดจ้าเหมือนแสงไฟหรือแสงตะวันซึ่งตอนนี้เริ่มล้าลงมากซ้ำยังถูกเมฆสีคล้ำบดบัง แต่ก็ระยิบอ่อนหวานพอจะพึงพิงได้ยามไฟฟ้าขัดสน“แบบนี้ก็โรแมนติกดีเหมือนกันนะน้อง” หญิงสาวในชุดทำงานกล่าวกับบริกรพลางวางหนังสือในมือลง หันมาดื่มด่ำกับบรรยากาศแปลกใหม่ของร้านกาแฟเล็กๆ“ไม่รู้ทำไมพอไฟดับพลอยกลัวขึ้นสมองทุกที ทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นถ้าไม่ได้โคม พลอยต้องแย่แน่ๆเลย” สาวสวยนามว่าพลอยยังคงดำเนินบทสนทนาต่อไป “โคมจ๋าต้องเข้าใจนะตอนนี้พวกเราโตขึ้น ไม่ใช่นักศึกษาอีกต่อไปแล้วถึงอะไรๆจะเปลี่ยนไป...แต่โคมก็ยังเป็นคนสำคัญสำหรับพลอยเสมอ”พรึบ! ไฟฟ้าทั่วร้านสว่างขึ้น เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุทำงานได้อีกครั้ง คราวนี้ไม่รู้ว่าดีเจเกริ่นนำอย่างไรเพราะไฟฟ้ามาพร้อมกับเพลงที่เล่นมาแล้วเกือบครึ่งเดินผ่านกลางคืนมาถึงกลางวัน กลับหันสะบัดมือเดินหนีไป เมื่อเธอพบตะวันส่องแสงแรงไกล ก็เลยทิ้งดวงไฟส่องทาง เธอไม่กลัวอ้างว้าง จึงจากฉันไปพลอยรีบเอามือพัดเทียนจนดับพลางบ่นอุบ “เฮ้อ!ติดซะที รำคาญจะตายไอ้เทียนเนี่ย ควันเย๊อะ เยอะ...แสบตา”“ที่ว่าสำคัญ…มากกว่าเจ้าบ่าวรึเปล่า ล่ะ?” โคมยิงคำถามด้วยสีหน้าปกติ“แหม!โคมก็ มีอารมณ์ขันเสมอเลยนะ” หญิงสาวไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือมาบีบจมูกของชายหนุ่มตรงหน้าส่ายไปมาอย่างคุ้นเคย“ตกลงโคมไปนะจ๊ะ ไม่รู้ล่ะยังไงก็ต้องไป งานช่วงเช้าพวกพิธีรีตองอะไรเนี่ยไม่ต้องไปก็ได้ แต่ตอนค่ำต้องไปให้ได้นะ” พลอยเร่งสรุปพลางพลิกดูนาฬิกาข้อมือเรือนหรู“พลอยต้องไปแล้วล่ะ ให้คนขับรถ‘เขา’พามานะเนี่ย เดี๋ยวต้องไปแวะรับเขาที่ออฟฟิศไปงานเลี้ยงต่ออีก แล้วเจอกันนะจ๊ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็พาร่างบางระหงเดินออกจากร้านไออุ่นอย่างสง่างามกัดฟันฝืนใจทน เหตุผลเธอมี เจ็บคราวนี้จะยอมข่มใจ มองภาพเธอเดินหายไปจากสายตา สายฝนภายนอกหยุดโปรยปรายเมฆก้อนคล้ำเลือนหายไปแล้ว เผยให้แห่งแสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงตะแต้มด้วยแสงสีม่วงอมชมพูระบายเต็มท้องฟ้า นักศึกษาสาวทั้งสองชี้ชวนกันดูปรากฏการณ์นั้นอย่างร่าเริง หญิงสาวในชุดทำงานจดบันทึกอะไรสักอย่างลงสมุดเล่มเล็ก ชายวัยกลางคนทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มเพิ่มกับบริกรหน้าตี๋ซึ่งยิ้มรับจนตาหยีอย่างเต็มใจบริการสุดชีวิต ชายหนุ่มในเชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดเรียกบริกรหนุ่มคนที่เคยนำโถเทียนมาให้เก็บเงินก่อนจะออกจากร้านโดยมีการ์ดสีชมพูถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ เจ้าตัวอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจลืมไม่มีใครรู้ บริกรนิ่วหน้าก่อนจะทำความสะอาดโต๊ะเก็บแก้วกาแฟแล้วนำสิ่งนั้นทิ้งลงถังขยะ“ฝนหยุดตกแล้วนะครับ อากาศกำลังดีทีเดียวเลย...ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เปียกฝนด้วยเพลงนี้ครับ” ดีเจเสียงหล่อกลับมาทักทาย แล้วเสียงดนตรีใสๆก็บรรเลงขับกล่อมทุกชีวิตในร้านไออุ่นอีกครั้งอดทนเวลาที่ฝนพร่ำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ.....


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น