วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 4

Please explain what is the Red Ocean,
the Blue Ocean and the White Ocean strategy?

I'll not able to be teaching on Wed 9 December because..
Have to meet the Mukdahan governers on Dec9.
Also,please express some examples about the Red,
Blue and White Ocean strategy.
See you on Dec 16


  • Red Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีเลือด” เป็นหนทางหนึ่งที่เคยช่วยให้หลายธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่ในความสำเร็จนั้นกลับก่อให้เกิดความรุนแรงในแวดวงธุรกิจการตลาด เพราะด้วยวิถีทางแห่งกลยุทธ์น่านน้ำสีเลือดแล้ว การแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ทางธุรกิจถือเป็นจุดประสงค์หลักของกลยุทธ์นี้ แต่การมุ่งเอาชนะคู่แข่ง เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่าโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว ยังมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บทางธุรกิจด้วยกันทุกฝ่าย เพราะเหตุนี้จึงมีผู้เปรียบเทียบการแข่งขันด้วยกลยุทธ์ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แบบนี้ว่า ไม่ต่างไปจาก “น่านน้ำสีเลือด” (Red Ocean) สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อรบรากันหนักข้อ ต่างฝ่ายทุ่มกำลังเข้าห้ำหั่น ท้องทะเลจะเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน

ตัวอย่าง Red Ocean Strategy เช่น การแข่งขันของยักษ์น้ำอัดลม โค๊ก-เป๊ปซี่ ในตลาดน้ำดำ ซึ่งหาความแตกต่างกันแทบไม่เจอ การแข่งขันในตลาดเครื่องรับโทรทัศน์ ระหว่าง โซนี่-พานาโซนิค-ซัมซุง-แอลจี ที่ไม่มีใครโดดเด่นด้านนวัตกรรมไปกว่ากัน การแข่งขันในตลาดบะหมี่สำเร็จรูป ผงซักฟอก แชมพู รถยนต์ และอีกมากมาย ที่วนไปวนมา กับกลยุทธ์ลดแลกแจกแถม

  • Blue Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม” เป็นแนวทางดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นตามมา เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางการตลาดแบบเดิม กลยุทธ์น่านน้ำสีครามจะไม่แข่งขัน ผลิตสินค้ารูปแบบเดียวกันป้อนสู่ตลาด ไม่เอาชนะกันด้วยสินค้าลอกเลียนแบบ แต่จะเลือกพัฒนาสินค้าของตนให้แหวกแนวไปจากที่มีอยู่ เน้นความเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน ใช้ “นวัตกรรมใหม่” และ “ความต่าง” เป็นตัวดึงดูดความสนใจของลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้เคยสร้างยอดขายถล่มทลายมาแล้วในสินค้าหลายชนิด
    แต่กลยุทธ์น่านน้ำสีครามก็ทำให้ผู้ดำเนินธุรกิจต้องเหนื่อยกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อวิ่งหนีคู่แข่ง ซึ่งนั่นคือการหนีที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ตัวอย่างBlue Ocean Strategy เช่น "บิวเกตต์" ที่สามารถคิดสร้างบริษัทซอฟต์แวร์ขึ้นมา ในขณะที่ชาวโลกยังไม่มีใครรู้จักซอฟ์ตแว์ร์แม้แต่สักคนเดียว จนในที่สุดเขาคือหนึ่งในผู้ที่ทรงพลังระดับโลก

  • White Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว”การกำหนดพื้นฐานการบริหารองค์กร แบบองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่วิสัยทัศน์ นโยบาย พันธกิจ กลยุทธ์การดำเนินงาน ไปจนถึงแนวทางในการปฏิบัติทุกภาคส่วนขององค์กร ตั้งแต่การบริหารงานบุคคล การตลาดและการขาย การปฏิบัติการ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยคำนึงถึงภาพกว้างของ People, Planet, Profit และ Passion เป็นแรงขับเคลื่อนในการบริหารงานทุกภาคส่วน ตั้งแต่พันธกิจ วิสัยทัศน์ นโยบาย การผลิต การบริหาร การตลาด การสื่อสาร การบริหารงานบุคคล ฯลฯ นับจากวันก่อเกิดองค์กร

ตัวอย่างWhite Ocean Strategy เช่น เครือซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) กำหนดวิสัยทัศน์ว่าในปี 2558 จะต้องเป็นผู้นำในภูมิภาค ที่มุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่กับการเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้า อย่างยั่งยืนให้แก่อาเซียน และชุมชนที่เข้าไปดำเนินงาน การก้าวสู่ความยั่งยืน (Sustainable Development) จะครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้กรอบบรรษัทภิบาลที่ดี

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 3

Swot analysis คือ อะไร ท่านคิดว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง พร้อม ยกตัวอย่าง (กรุณาตอบใน Blog ของท่าน)
SWOT Analysis เป็นการวิเคราะห์สภาพองค์การ หรือหน่วยงานในปัจจุบัน เพื่อค้นหาจุดแข็ง จุดเด่น จุดด้อย หรือสิ่งที่อาจเป็นปัญหาสำคัญในการดำเนินงานสู่สภาพที่ต้องการในอนาคต
SWOT เป็นตัวย่อที่มีความหมายดังนี้

Strengths - จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบ
Weaknesses - จุดอ่อนหรือข้อเสียเปรียบ
Opportunities - โอกาสที่จะดำเนินการได้
Threats - อุปสรรค ข้อจำกัด หรือปัจจัยที่คุกคามการดำเนินงานขององค์การ
หลักการสำคัญของ SWOT ก็คือการวิเคราะห์โดยการสำรวจจากสภาพการณ์ 2 ด้าน คือ สภาพการณ์ภายในและสภาพการณ์ภายนอก ดังนั้นการวิเคราะห์ SWOT จึงเรียกได้ว่าเป็นการวิเคราะห์สภาพการณ์ (Situation Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อให้รู้ตนเอง (รู้เรา) รู้จักสภาพแวดล้อม (รู้เขา) ชัดเจน และวิเคราะห์โอกาส-อุปสรรค การวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารขององค์กรทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกองค์กร ทั้งสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมทั้งผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่มีต่อองค์กรธุรกิจ และจุดแข็ง จุดอ่อน และความสามารถด้านต่าง ๆ ที่องค์กรมีอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดกลยุทธ์และการดำเนินตามกลยุทธ์ขององค์กรระดับองค์กรที่เหมาะสมต่อไป

ประโยชน์ของการวิเคราะห์ SWOT
การวิเคราะห์ SWOT เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้เรากำหนดวิสัยทัศน์ กำหนดกลยุทธ์ เพื่อให้องค์กรนั้นๆ เกิดการพัฒนาได้ในทางที่เหมาะสม
ตัวอย่าง การวิเคราะห์ SWOT การทำธุรกิจขายของในเวป

Strengths - ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย
Weaknesses - อาจขาดความน่าเชื่อถือเพราะเป็นธุรกิจออนไลน์
Opportunities - ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ,ยุคสมัย
Threats - กฎหมายในปัจจุบันกับการทำธุรกิจ ecommerce

กิจกรรมช้าง ท่านมีกลยุทย์ในการทำอย่างไร จงบอกขั้นตอน พร้อมอธิบายว่าท่านจะประยุกต์ดังกล่าว กับเรื่องอะไร เพราะเหตุใด (ตอบใน Blog ของท่าน)
ขั้นตอน
1.ประชุมกันในกลุ่มเพื่อหาวิธีที่จะนำวัสดุ ที่ได้มาไปใช้อย่างไร
2.วางแผน
3.ลงมือปฏิบัติ
4.เมื่อทำช้างเสร็จแล้วก็ทำการตกแต่งเล็กน้อยให้เหมือนช้าง

จากกิจกรรมนี้จะประยุกต์กับเรื่อง การใช้ชีวิตในประจำวันเพราะจะใช้ในการแก้ไขสถานการณ์เร่งด่วน หรืออาจใช้ในเวลาทำงานต่างๆ เพื่อจะได้ช่วยให้งานเหล่านั้น บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งานที่ 2

1. อ่านบทความ เรื่อง เรื่องการประยุกต์ใช้เครือข่ายสังคมคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน แล้วมีความคิดเห็นดังนี้
การนำเครือข่ายสังคมคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีนั้น มีประโยชน์อย่างมากเพราะ
1.ทำให้มีความสะดวกรวดเร็วในระหว่างการติดต่อสื่อสารกันระหว่างอาจารย์ผู้สอนกับนักศึกษา
2.ลดปริมาณเอกสาร (กระดาษ) ที่ต้องใช้ในระหว่างการเรียนการสอนได้มาก
3. เป็นเครื่องมือจัดการเอกสารและข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้

4.เป็นเครื่องมือสื่อสารประชาสัมพันธ์ด้วยระบบอินเตอร์เน็ต ที่จะสามารถสื่อสารถึงผู้รับได้เร็วขึ้น ทำให้ระยะเวลาในการส่งสารน้อยลง
5.ทำให้เป็นการประหยัดงบประมาณของมหาวิทยาลัยด้วย

2.อ่านแผนแม่บทฉบับที่ 2 ที่ประกาศ พ.ศ. 2512-2516 แล้วให้เขียนเสนอโครงการว่าจะทำโครงการอะไรให้สอดคล้องกับแปน ICT ดังกล่าว
โครงการที่นำเสนอคือ โครงการ ICT กว้างไกลประเทคไทยก้าวหน้า

โครงการนี้ จะเป็นการขยายโอกาศให้แก่ชนบทที่ห่างไกล ให้มีความก้าวหน้าทันตามเทคโนโลยี ให้มีการเปิดใช้งานระบบอินเตอร์เนท เพื่อให้ผู้คนในชนบทที่ห่างไกลได้รู้จักโลกที่กว้างไกลได้เรียนรู้และได้รับข้อมูลข่าวสารทันตามเหตุการณ์ เพื่อจะได้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างขวางมากขึ้นกว่าเรียนในห้องเรียนปกติ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 1

1.ให้นักศึกษาวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย(จุดควรพัฒนา)ด้าน ICT ของ ม.อุบลฯพร้อมเสนอข้อแนะนำด้าน ICT

จุดเด่น
1.ระบบลงทะเบียนใช้งานง่าย
2.มีระบบเครือข่ายภายในพื้นที่สถานศึกษา
3.มีระบบการสอนแบบ E-learning ทำให้ทบทวนเนื้อหาและส่งงานได้สะดวก
4.สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆผ่านเว็บและซิมของมหาวิทยาลัยได้
5.ระบบมีความประสิทธิภาพสูงรองรับกับกับนักศึกษาจำนวนมาก
6.มีการส่งเสริมและให้ความรู้แก่นักศึกษาด้าน ICT อยู่เรื่อยๆ ทำให้นักศึกษามีความรู้ใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ
7.มีศูนย์บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ของมหาลัย
8.มีเครื่องมือการเรียนการสอนที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
9.มีอาจารย์คอยให้คำปรึกษา ที่มีความรู้ความสามรถทางด้าน ICT สูง
10.ค้นหาข้อมูลได้รวดเร็ว




จุดด้อย
1.ระบบลงทะเบียนออนไลน์เมื่อมีการผิดพลาดแล้วจะติดต่อแก้ไขข้อมูลอยากมาก
2.อยากให้การใช้งาน internetที่เร็วขึ้น
3.การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักศึกษาสามารถเข้าถึงได้หลายทางทำให้ข้อมมูลไม่มีความปลอกภัย
4.อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์มีเครื่องที่ชำรุดอยู่หลายเครื่องควรมีการดูแลให้เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
5.การติดต่อแบบไร้สาย ( Wireless)ไม่ครอบคลุมพื้นที่ทำให้ไม่สะดวกแก่การติดต่อ
6.ระบบของ มหาลัยยังไม่ค่อยสมบูรณ์
7.ระบบ reg มักมีปัญหาเวลาลงทะเบียน เข้าถึงข้อมูลได้ช้า error บ่อยด้วย
8.ระบบ reg ที่ใช้ในการลงทะเบียนปิดให้ลงทะเบียนเร็วเกินไปทั้งๆที่ยังอยู่ในช่วงการเพิ่มและการถอนอยู่
9.ซอฟแวร์ส่วนมากที่ใช้ในการสอนมักเป็นซอฟแวร์ที่มีลิขสิทธ์
10.มหาวิทยาลัยยังจำกัดความเร็วระบบอินเทอร์เน็ตในบางแห่ง


ข้อแนะนำด้าน ICT
1.ควรเพิ่มจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการของนักศึกษา
2.ควรปรับปรุงซ่อมแซมคอมพิวเตอร์ที่ชำรุด หรืออุปกรณ์ต่างๆ
3.ควรนำใช้ซอฟแวร์ที่ถูกลิขสิทธ์ในการเรียนการสอน
4.เพิ่มฐานข้อมูลในการรองรับข้อมูลของระบบ Reg
5.เพิ่มระบบความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล
6.ขยายช่องทางการเข้าใช้งานระบบในเวลาเดียวกันให้สามารถใช้งานได้หลาย User มากขึ้น
7.เพิ่มประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์
8.น่าจะเพิ่มระยะเวลาการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ในสำนักคอมพิวเตอร์ให้นานกว่านี้
9.ควรจัดตั้งบุคคลากรมาดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์
10.เพิ่มระบบที่สามารถตรวจสอบการเข้าใช้งานระบบ เพื่อตรวจสอบการใช้งานของบุคคลผู้นั้น

2.กลยุทธ์ หรือ Strategic คือ
กลยุทธ์ หรือ Strategic คือ การวางแผนรวมหรือแผนทั้งหมดสำหรับอนาคตขององค์กร ซึ่งมีรูปแบบความต่อเนื่องและเป็นกระบวนที่ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งโดยผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสม

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ในใจเรา




ตอนที่ 26


ที่คอนโดของพินิจนัย หลังจากที่กลับมาจากงาน ก็นั่งดื่มเหล้าอย่างหนักคนเดียว พลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาและศรารันพูดกัน
“ คุณเป็นเพื่อนกับเพลิงเพชร ผู้หญิงที่ฉันเกลียดที่สุดในชีวิต”
“ ที่คุณเกลียดเพชร เพราะว่าเขาแย่งคนที่คุณรักไป ใช่มั้ย! แม้กระทั่งตอนนี้ คุณเองก็ยังรักนายรติอยู่”
“ ถ้าไม่มียัยนั่น! ป่านนี้ฉันคงมีความสุขกับพี่รติไปแล้ว”

พินิจนัยโมโหปาแก้วเหล้าลงพื้น
“ ศรา! คุณยังรักนายนั่นอยู่หรือเปล่า คุณไม่เคยมีผมอยู่ในหัวใจเลยใช่มั้ย” เขาเจ็บปวดมาก ในชีวิตนี้เขายังไม่เคยคิดจะรักใครด้วยซ้ำ แต่เธอเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำนี้
ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาไม่อยากจะรับมันเลย แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทรมาก็ยอมรับสาย
“ มีอะไรเหรอเพชร”
มีเสียงร้องไห้ของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจ
“ เพชร คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ นัย …… คือเพชร….มีเรื่องอยากจะพูดกับนัย” เธอยังคงร้องไห้
“ เรื่องอะไร” พินิจนัยสงสัย
“ เกี่ยวกับศรารันและก็คุณรติ” เท่านั้นแหล่ะ ยิ่งทำให้พินิจนัยอยากรู้
“ สองคนนั้นทำไม!” ถ้าพินิจนัยได้เห็นหน้าของเพลิงเพชรตอนนี้ คงจะเห็นว่าเธอลอบยิ้มอยู่ แต่ทำเป็นเสียงเศร้า
“พูดทางนี้ คงไม่สะดวก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราพบกันได้มั้ย” เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยก็วางสายไป

เพลิงเพชรหัวเราะออกมา ชิดจันทร์มองหน้าเพื่อนของเธอ สองสาวอยู่ในห้องนอนของคอนโดชิดจันทร์
“ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเรื่องนี้จะมีนัย มาเกี่ยวข้องด้วย” ชิดจันทร์พูด
“ ถ้าเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากให้เขามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะกับนังศรา!” เมื่อพูดถึงชื่อศรารัน แววตาของเธอมีแต่แววเกลียดชัง
“ แล้วแกจะทำยังงัย” ชิดจันทร์ถาม
“ ฉันต้องการให้นัย เกลียดมัน เหมือนที่ฉันเกลียด และฉันจะต้องเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารในสายตา ของเขา”
“ แก จะทำคล้ายๆกับตอนที่แย่งคุณรติมาจากยัยศรา งั้นเหรอ”
“ ใช่! แต่มันต่างตรงที่ว่า…….” เพลิงเพชรยังพูดไม่ทันจบ ชิดจันทร์ก็แทรกขึ้น
“ กับคุณรติ แกแย่งเขามาโดยที่แกไม่ได้รักเขาเลย ส่วนนัย แกรักเขา แล้วก็รักมาก! จนไม่อยากให้ใครได้นัยไป ฉันพูดถูกมั้ย”
เพลิงเพชรมองหน้าชิดจันทร์
“ เก่งมาก ยัยพลอย สมกับเป็นเพื่อนรักของฉัน!”
“แล้วแก คิดว่านัย รู้สึกอย่างไรกับยัยศรา เพราะที่แกเล่าให้ฉันฟัง ว่าตลอดเวลาที่แม่นั่น หายไป ก็ไปรู้จักกับนัย” ตรงนี้แหละที่เพลิงเพชรกลัวที่สุด
“ ไม่ว่าอย่างงัยก็ตาม ฉันไม่มีวันยอมให้นัยรักแม่นั่นหรอก!” เพลิงเพชรพูดอย่างจริงจัง
“ แล้วคุณรติล่ะ แกจะทำยังงัย” ชิดจันมร์ถาม
“ เขาหมดประโยชน์แล้วล่ะ ยัยศราไม่ได้รักเขาแล้ว เพราะฉะนั้น ฉันจะบอกเลิกเขา ก่อนที่จะไปพบกับนัย”
…………………………………
ช่วงพักเที่ยง เพลิงเพชรออกมาทานข้าวกับรติ ที่ใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย เพลิงเพชรสังเกตเห็นตั้งแต่หลังเลิกงานเลี้ยงเมื่อวาน ตอนที่มาส่งเธอที่คอนโด เขาแทบไม่พูดอะไรเลย มองเธออย่างห่างเหิน
“ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เพลิงเพชรสงสัย
“เปล่า” เขาตอบสั้นๆ เพลิงเพชรแอบทำหน้าเบื่อหน่าย
“ เพชรมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณค่ะ” รติยังคงนิ่ง เพลิงเพชรพูดต่อ
“ เพชรว่า เราไม่เหมาะสมกันหรอกค่ะ ตลอดเวลาที่เพชรคบกับคุณ เพชรรู้สึกผิดตลอด ที่เป็นต้นเหตุให้ น้องศราต้องเจ็บปวด รวมถึงคุณพ่อที่ต้องมา ผิดหวังในตัวเพชร ทางที่ดี เราสองคนเลิกคบกันเถอะค่ะ แล้วมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” เพลิงเพชรตีหน้าเศร้า รติมองหน้าเธอนิ่งๆ ถ้าเขาไม่ได้ยินเธอพูดกับศรารันเมื่อคืน เขาคงจะเชื่อเธอสนิท ผู้หญิงคนนี้ช่างร้ายกาจจริงๆ!
“ ผมว่าคุณ มาสำนึกช้าเกินไปหน่อยมั้ง! ถ้าคุณคิดว่าเราไม่เหมาะสมกันตั้งแต่แรก คุณก็ไม่ควรโผล่ไปที่งานแต่งงานของผมกับศรา ผมรู้ว่ว่าผมมันโง่! เป็นผู้ชายที่โลเล มันจึงกลายเป็นเครื่องมือ ให้คุณทำร้ายจิตใจของศรา ทำร้ายความรู้สึกคุณพ่อของคุณ!” รติพูดอย่างเหลืออด
เพลิงเพชรตกใจที่รติรู้ทันเธอ
“ คุณ! พูดเรื่องอะไรของคุณ ศราฟ้องคุณงั้นเหรอ”
“ หยุดเล่นละคร เสแสร้งสักที ผมไม่ยอมหลงกลคุณอีกแล้ว ผู้หญิงร้ายกาจอย่างคุณ ผมแทบไม่อยากจะเห็นหน้าคุณอีก” รติพูดแค่นั้นก็ลุกออกจากร้านไป เพลิงเพชรรู้สึกเสียหน้าและเจ็บใจ

………………………..
ช่วงเย็นพินิจนัยมานั่งรอเพลิงเพชร ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สักพักหญิงสาวก็เดินเข้ามา พร้อมใบหน้าที่เศร้า
“ รอนานมั้ย นัย” เพลิงเพชรทัก
“ ไม่นานหรอก สั่งอาหารก่อนสิ” เมื่อสั่งอาหารเสร็จ พินิจนัยก็เริ่มพูด
“ เพชรมีอะไรที่อยากจะบอกนัยหรือเปล่า”
เพลิงเพชรตีหน้าเศร้า
“เพชรมีเรื่องอยากจะบอกนัย คือ จริงๆแล้ว เพชรเป็นพี่สาวต่างแม่ของศรา เพชรเองก็รู้ เมื่อไม่นานนี้เอง จากลุงภาค พ่อของเพชรไม่เคยอยากให้เพชรเกิดมาเลย เขาทิ้งแม่ของเพชรไปแต่งงานกับแม่ของศรา สร้างความเจ็บช้ำให้กับแม่ของเพชรมาก นัยรู้มั้ย ว่าตั้งแต่เพชรจำความได้ เพชรไม่เคยเห็นแม่ยิ้มเลย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตท่าน” น้ำตาของเพลิงเพชรเริ่มไหล พินิจนัยรู้สึกเห็นใจ
“ แล้วเรื่องคุณรติ ทำไมเขาถึงกลายมาเป็นแฟนเพชรล่ะ เท่าที่นัยทราบ เขาเป็นคนรักของศรา”
เขาไม่อยากจะพูดประโยคนี้เลย
“ ความจริงแล้ว เพชรกับคุณรติ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกค่ะ แต่ที่เราต้องบอกใครๆว่าเราเป็นแฟนกัน เพียงเพราะว่า ตอนนั้นคุณรติไม่แน่ใจในตัวศรา เขาทนพฤติกรรมที่เอาแต่ใจ
ของศราไม่ได้ นัยรู้มั้ย ว่าตลอดเวลาที่เพชรเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับศรา เพชรอึดอัดใจมาก ศราคอยแต่พูดจาเหน็บแนมเพชรตลอด จนเพชรทนไม่ได้ต้องไปอยู่กับพลอย ตอนนั้นคุณรติก็เอือมระอากับนิสัยของศรา เพราะเธอชอบตามหึงหวงคุณรติกับเพชร คุณรติจึงอยากจะปลีกตัวออกจากศรา ด้วยการแกล้งคบกับเพชร……………แต่ ตอนนี้” เพลิงเพชรเว้นพูด
“ ทำไม” พินิจนัยถาม
“ คุณรติรู้ว่าศรา ยังรักเขาอยู่ และรักเขามาก เขาจึงคิดอยากจะกลับไปคบกับศราอีกครั้ง ” เพลิงเพชรแกล้งเน้นพูด ตอนนี้แววตาของพินิจนัยมีความไม่พอใจ
“ แต่ที่เพชรเครียดและไม่สบายใจ คือเพชรกลัวว่านัยจะมองเพชรเป็นคนไม่ดี แย่งคนรักของน้องสาวตัวเอง เพชรอยากให้นัยรับรู้เอาไว้ ว่าถึงแม้ศราจะเป็นน้องสาวต่างแม่ แต่เพชรก็รักเธอ ไม่เคยคิดร้ายกับเธอเลย” เพลิงเพชรเสแสร้ง เจ้าบทบาทที่สุด
“ผมไม่มีทางมองเพชร เป็นคนไม่ดีหรอก ยังงัยเราก็เป็นเพื่อนกัน” พินิจนัยพูด เพลิงเพชรแอบหงุดหงิดกับประโยคหลัง
…………………………………
ตกดึก ศรารันนอนพลิกตัวไปมา เธอนอนไม่หลับ คิดมากในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับพินิจนัย เธออยากรู้ว่าพินิจนัยคิดยังงัยกับเพลิงเพชร แต่ที่รู้แน่ๆเพลิงเพชรคิดกับพินิจนัยเกินเพื่อนแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ศรารันก็ยิ้มออกมา
“ หึ! ฉันว่า ฉันรู้จุดอ่อนของเธอแล้ว ยัยเพลิงเพชร!”
เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น
“ ฮัลโหล” เธอกรอกเสียงลงไป
“ ศรา……..” เสียงนี้ทำเอาเธอนิ่ง
“ พี่รู้นะว่า สิ่งที่พี่ทำมันผิดมาก แต่ตอนนี้พี่รู้แล้ว ว่าจริงๆแล้ว เพลิงเพชรใช้พี่เป็นเครื่องมือในการทำร้ายจิตใจของศรา พี่เลิกยุ่งกับเขาแล้ว ศราให้อภัยพี่ได้มั้ยครับ” น้ำเสียงของเขาฟังดูเศร้า
“ ความจริงแล้ว ถ้าพี่รติ มีความหนักแน่นในเรื่องของความรู้สึก พี่ก็คงไม่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือได้หรอกค่ะ ถ้าจะโทษใคร พี่ควรจะโทษตัวเองนะคะ ที่ไม่หนักแน่นพอ ในเรื่องความรัก!”
ศรารันพูดเสียงนิ่งๆ ทำเอารติพูดไม่ถูก พยายามกั้นน้ำตาเอาไว้
“ พี่……..แค่อยากจะบอกว่า…. พี่…ขอโทษครับ…..” รติวางสายไปอย่างเสียใจ
ศรารันเองก็เจ็บลึกๆภายในใจเหมือนกัน เพราะอย่างน้อย รติ ก็คือคนที่เธอเคยรักมากที่สุด อยู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา แม้ว่าพยายามจะกั้นไว้
………………….

ในใจเรา




ตอนที่ 25


ศรารันมองอยู่สักพัก แล้วก็เดินเข้าไปในงานด้วยความหมั่นไส้
“ อีตาบ้า! รู้จักกับยัยเพลิงเพชรได้งัยกัน” ศรารันแอบบ่นอยู่คนเดียว

เพลิงเพชรเดินเข้ามาในงานพร้อมกับพินิจนัย เพราะถึงช่วงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ต้องขึ้นเวทีพูดความในใจ พิธีกรกล่าวต้อนรับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ขึ้นบ่นเวที แขกในงานปรบมือต้อนรับเสียงดัง
“ ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่มาร่วมงาน วันสำคัญของเราทั้งสองคน วันนี้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต ผมขอสัญญาว่าจะดูแล คุณกานต์ไปตลอดชีวิตของผม เพราะว่าผม รักเธอครับ” ตรีทัพพูดอย่างมีความสุข แขกในงานต่างยินดีไปด้วย ศรารันยืนมองอย่างยินดีไปด้วย ครั้งหนึ่ง เธอก็เกือบจะมีความสุขแบบนี้แล้ว เธอแอบมองไปทางรติ และรติก็มองมาทางเธอเช่นกัน
พินิจนัยชำเลือง มองทั้งคู่ และคิดไปเองว่าศรารัน คงยังมีใจให้กับรติแน่ๆ
เมื่อบนเวที เจ้าบ่าวเจ้าสาวพูดจบ ก็มีการตัดเค้ก จากนั้นก็มีการเปิดฟอร์ เต้นรำของคู่บ่าวสาว และเชิญแขกในงานร่วมเต้นรำด้วย
รติเดินเข้าไปหาเพลิงเพชรที่ตอนนี้ยืนอยู่กับพินิจนัย
“เพลิงเพชร คุณอยากจะเต้นรำมั้ย” รติเอ่ยถาม อย่างไรเขาก็ต้องให้เกียรติเพลิงเพชร
เพลิงเพชรมองมาทางพินิจนัยแวบหนึ่ง ใจจริงเธออยากจะเต้นรำกับพินิจนัย แต่ติดที่ต้องการจะแกล้งศรารัน เพราะเธอคิดว่า ศรารันคงยังรักรติอยู่แน่ๆ
“ ก็ได้ค่ะ เออ เดี๋ยวเพชรว่า เพชรแนะนำ ให้คุณทั้งสอง รู้จักกันก่อนดีกว่าค่ะ คุณรติคะ นี่พินิจนัย เพื่อนของเพชรค่ะ ส่วนนี่ คุณรติ เออ…………. แฟนเพชรเองค่ะ” เพลิงเพชรลำบากใจไม่น้อยที่ต้องแนะนำแบบนี้ แต่เพื่อความแค้นส่วนตัว เธอจึงยอม
พินิจนัยตกใจ ที่ได้ยินประโยคนี้ งั้นก็หมายความว่า เพลิงเพชร อาจจะเป็น พี่สาวต่างมารดาของศรารัน เพราะที่เขาทราบ เพลิงเพชรอยู่กับลุงและป้า ตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องพ่อแม่ เธอแทบไม่เคยเล่าเลย
เมื่อเพลิงเพชรกับรติเดินออกไปเต้นรำ ศรารันก็มองเห็นทั้งคู่ เพลิงเพชรมองมาทางเธออย่างเยาะเย้ย ศรารันรู้สึกเซ็งๆ พินิจนัยเดินมาทางด้านหลังของเธอ
“ อิจฉาเขาหรืองัย” พินิจนัยพูดเสียงนิ่งๆ
ศรารันหันกลับมามองคนพูด
“ พูดอะไรของคุณ” ศรารันคิ้วขมวด
“ ผู้ชาย คนที่ชื่อรติ คืออดีตคนรักของคุณ ใช่มั้ย”
ศรารันนิ่งสักพัก ก่อนตอบ “ ใช่! คุณรู้ได้อย่างงัย หรือว่ามีคนบอก” ศรารันมองไปที่เพลิงเพชร ที่ตอนนี้เธอเองก็มองมาที่ ศรารัน กับพินิจนัยอย่างสงสัย
“ เอาเป็นว่า ผมรู้ละกัน” ศรารันมองหน้าเขา ก่อนจะตัดสินใจถาม
“ คุณ รู้จัก กับเพลิงเพชรด้วยเหรอคะ” เธอถามเสียงแข็ง
“ ครับ ผมกับเพชร เป็นเพื่อนสนิทกัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัย” พินิจนัยตอบ ศรารันได้ยินคำตอบ ทำให้สายตาของเธอเปลี่ยนไป มองเขาอย่างห่างเหิน เธอเริ่มไม่แน่ใจในตัวพินิจนัย ว่าเขาได้ร่วมมือกับเพลิงเพชรหรือเปล่า ศรารันทำอะไรแทบไม่ถูก
“ คุณเป็นเพื่อนกับเพลิงเพชร ผู้หญิงที่ฉันเกลียดที่สุดในชีวิต” ศรารันพูดเสียงแข็ง
พินิจนัยมองหน้าเธออย่างนิ่งๆ
“ ที่คุณเกลียดเพชร เพราะว่าเขาแย่งคนที่คุณรักไป ใช่มั้ย! แม้กระทั่งตอนนี้ คุณเองก็ยังรักนายรติอยู่” พินิจนัยเองก็เริ่มพูดเสียงเครียด ศรารันเริ่มโมโห ทำไมเขาถึงพูดจาเข้าข้างเพลิงเพชรแบบนี้ หรือเขาคิดกับเพลิงเพชรเกินเพื่อน ด้วยความโมโห ศรารันจึงพูด
“ ถ้าไม่มียัยนั่น! ป่านนี้ฉันคงมีความสุขกับพี่รติไปแล้ว” คำพูดนี้ ทำเอาพินิจนัยเจ็บปวดภายในหัวใจ ศรารันเองก็รู้สึกผิด แต่ด้วยความอคติ เธอจึงจะเดินหนีออกไป แต่พินิจนัยจับแขนเธอไว้
“ คุณ รู้สึกแบบนั้นจริงๆเหรอ” แววตาของพินิจนัยเจ็บปวดมาก ศรารันแทบไม่อยากเห็นแววตาที่เศร้าของเขา
“ ฉัน….” เธอพูดอะไรไม่ออก จังหวะนี้เอง มีชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคนเข้ามาขอ เต้นรำกับศรารัน
“ ขอโทษนะครับ ให้เกียรติเต้นรำ กับผมสักเพลงได้มั้ยครับ”
ศรารันลังเล
“ ไม่ได้หรอกครับ ผมขอเธอเต้นรำกับผมแล้ว” พินิจนัยพูดนิ่งๆ ชายคนนั้นจึงออกไป
“ เต้นรำกับผมสักหน่อยได้มั้ย หวังว่าคงไม่ฝืนใจของคุณจนเกินไป” พินิจนัยพูด
ศรารันมองค้อนนิดหนึ่ง ก่อนจะยอมเต้นรำ
ทั้งคู่ออกไปเต้นรำ ท่ามกลางการถูกจับตามองของหลายๆคน รวมทั้งรติและเพลิงเพชร โดยเฉพาะเพลิงเพชร ซึ่งแสดงออกทางแววตาอย่างเห็นได้ชัด ว่าไม่พอใจ รติมองเธอ
“ ดูท่าทางคุณไม่ค่อยพอใจเลยนะ ที่เห็นศราเต้นรำกับเพื่อนของคุณ”
“ เปล่านี่คะ” เพลิงเพชรรีบทำหน้าปกติ แต่สายตาก็มิวายชำเลืองมองไปทางสองคนนั้นตลอด

ระหว่างที่พินิจนัยเต้นรำกับ ศรารัน เขาก็พูดจาแขวะศรารันตลอด
“ คงนึกเสียดายล่ะสิ ที่คนที่เต้นรำคู่คุณไม่ใช่นายรติ” ศรารันทำหน้าเบื่อหน่าย
“ ก็ทำนองนั้น” ศรารันพูดอย่างฉุนๆ
“ คุณเองก็คงอยากจะเต้นรำ คู่กับยัยเพลิงเพชรล่ะสิ”
“ใช่! ผมกับเพชรสนิทกันมาก” พินิจนัยพูดประชด ศรารันรู้สึกไม่พอใจ พยายามจะดันตัวเขาออกไป แต่พินิจนัยดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ เรียกได้ว่ากอดแนบชิดก็ว่าได้
“นี่คุณนัย! ปล่อยฉัน เดี๋ยวนี้นะ คุณไม่มีสิทธิ์ มาทำกับฉันแบบนี้ บ้าหรือเปล่า!” ศรารันโมโหพยายามดิ้นให้หลุด แต่เขาก็ยิ่งกระชับใกล้มากยิ่งขึ้น
“ ทำไม! กลัวใครเห็นเหรอ” พินิจนัยพูด หน้าจะชนกับศรารันอยู่แล้ว ส่วนเธอก็พยายามจะเบี่ยงหลบ จนสามารถหลุดจากอ้อมกอดของเขาได้ แล้วรีบวิ่งหนีไป เพลิงเพชรที่จับตาอยู่ ยิ่งสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“ คุณรติคะ เพชรรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ขอไปนั่งพักข้างนอกนะคะ”
“ ให้ผมพาคุณไปมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เพลิงเพชรรีบพูด แล้วเดินออกไป

………………………………….
แถวลานจอดรถ ศรารันเดินมาที่รถ เธออยากจะกลับบ้านแล้ว ตอนนี้เธอหงุดหงิดมาก โดยเฉพาะเรื่องพินิจนัย เขาเป็นเพื่อนหรือไม่แน่อาจจะเป็นยิ่งกว่านั้นกับยัยเพลิงเพชร
ระหว่างที่จะเปิดประตูรถ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ จะกลับแล้วหรือจ้ะ น้องรัก!” เพลิงเพชรพูดยิ้มๆ ศรารันหันจำเสียงได้ หน้าเปลี่ยนทันที กลับมามองอย่างไม่เป็นมิตร
“ ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ หยุดกระแดะ พูดจาเป็นคนดีสักที ฉันฟังแล้วอยากจะอ้วก!” ศรารันพูดเสียงแข็ง เพลิงเพชรยังปั้นหน้ายิ้ม
“ แหม นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าซะแล้ว เห็นได้ข่าวว่า พยายามจะฆ่าตัวตายด้วยเหรอ น่าเสียดาย
ที่ไม่ตายสมใจอยาก” ศรารันแทบไม่อยากจะมองหน้าคนตรงหน้าเธอ เพลิงเพชรยังคงพูดต่อ
“ ความจริง ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกเธอไว้ เกี่ยวกับคุณรติ ……… จริงๆแล้วเนี่ย ฉันไม่เคยรักเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ฉันต้องเข้าใกล้เขา ก็เพราะเธอนั่นแหล่ะ เห็นว่ารักเขามาก ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าเขาจะมารักฉัน ถึงขนาดทิ้งเธอในวันแต่งงาน น่าสมเพชจริงๆเลย” เพลิงเพชรพูดอย่างสะใจ
“ แสดงว่าที่เธอทำไปทั้งหมด เพียงเพราะต้องการแก้แค้นฉัน!” ศรารันพูดนิ่งๆ
“ใช่! ฉันอยากให้แก ได้รับความเจ็บปวดบ้าง ว่ามันรู้สึกอย่างไร” เพลิงเพชรพูดอย่างแค้นเคือง
ศรารันมองอย่างสมเพช
“ ความจริงฉันก็อยากจะสงสารเธอนะ ที่เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจของพ่อ! แถมแม่ก็เหมือนคนบ้า เธอคงจะเจ็บปวด จึงต้องมาแก้แค้น ……….. แต่ฉันขอบอกเธอไว้ตรงนี้เลยว่า เธอทำร้ายจิตใจฉันได้เพียงครั้งเดียว ต่อไปนี้ จะไม่มีอะไรมาทำร้ายความรู้สึกของฉันได้อีก ผู้ชายที่ชื่อรติ ไม่ได้อยู่ในหัวใจของฉันอีกต่อไป!” ศรารันตรอกกลับ จนเพลิงเพชรโมโห
“ แก! นังศรารัน! ถ้าแกไม่รักคุณรติ แล้วแกรักใคร” เพลิงเพชรระแวง กลัวจะเป็นอย่างที่คิด
“ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องบอกเธอ แต่ เอ๊ะ! เธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้รักพี่รติ หรือว่าเธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้ว หวังว่า คงไม่ใช่คุณนัยนะ” ศรารันแกล้งพูดไปงั้นเอง แต่สายตาของเพลิงเพชรระแวงหนัก รีบพูดสวน
“ แกรู้จัก นัยได้อย่างงัย!” เท่านั้นแหล่ะ ศรารันก็เดาได้ทันทีว่าเพลิงเพชรคิดอย่างไรกับพินิจนัย
ศรารันยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ย
“ ต้องขอบคุณเธอสินะ ที่เป็นคนผลักฉัน ให้ไปรู้จักกับเขา ในช่วงเวลาที่ฉันกำลังผิดหวังในความรัก มันคงเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตมั้ง ที่ให้เขามาดูแลฉัน จนฉันตัดใจจากพี่รติได้”
“ นังศรา!” เพลิงเพชรแทบกรี๊ด ศรารันหัวเราะออกมา แล้วก็เดินหันหลังเปิดประตูขึ้นรถ แล้วขับออกไป เพลิงเพชร มองตามอย่างโกธรแค้น ทำไมเรื่องถึงเป็นอย่างนี้! ทำไม! การสนทนาทั้งหมดของสองสาว รติที่แอบยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินทั้งหมด เขาตามเพลิงเพชรลงมาได้สักพัก แล้วก็มาได้ยินทั้งคู่พูดกัน สิ่งที่ได้ยิน ทำให้เขาเสียใจมาก นี่เขาเป็นเครื่องมือของเพลิงเพชรเพื่อทำร้ายจิตใจของศรารัน เพลิงเพชรไม่เคยรักเขาเลย แถมตอนนี้ศรารันก็ไม่เหลือเยื่อใยให้กับเขาแล้ว เขาแทบจะล้มทั้งยืน
……………………………..

ในใจเรา



ตอนที่ 24


ต่างฝ่ายต่างรู้สึกแปลกใจ ที่ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาพบกันที่นี่ และนั่นก็ทำให้พินิจนัยแอบดีใจลึกๆ ส่วนศรารันก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ก็วางฟอร์มทำเป็นเฉยๆ
“ คุณมาทำอะไรที่นี่” ศรารันเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ ก็นี่เป็นงานแต่งงาน คุณคิดว่าผมมาหาหมอหรือครับ” พินิจนัยได้ทีจึงกวนใส่ ศรารันจึงโมโหเล็กน้อย
“ ตลกเกินไปมั้ง! ฉันถามคุณดีๆนะ” พินิจนัยยิ้มกวนๆ
“ ผมแค่ล้อเล่นน่า ซีเรียสไปได้….. ผมเป็นเพื่อนกับไอ้ตรี เจ้าบ่าวของงานครับ”
“ เหรอ ฉันเองก็สนิทกับเจ้าสาว ว่าแต่คุณเถอะ ขึ้นมากรุงเทพ เพื่องานนี้โดยเฉพาะเหรอ” ศรารันถาม
“ เปล่าหรอกครับ ผมมาทำธุระ เกี่ยวกับธุรกิจด้วย คงต้องอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”
“แล้วคุณ พักที่ไหนล่ะ”
“ผมมีคอนโด อยู่ที่นี่ ทำไมเหรอครับ คุณจะชวนผมไปพักที่บ้านคุณหรืองัยครับ” พินิจนัยแกล้งหยอก ศรารันทำหน้าเอือมระอา
“ บ้าหรือเปล่า ติงต๊องเกินไปและ!” แม้ว่าจะพูดจากันแบบนี้ แต่ภายในใจความรู้สึกของทั้งคู่รู้สึกยินดี ที่ได้มาพูดจาและพบหน้ากันอีก

ตอนนี้รติพูดคุยอยู่กับเพื่อน เนื่องจากเพลิงเพชรขอไปเข้าห้องน้ำ รติกวาดสายตามองหาศรารันอยู่ตลอดเพื่อหาโอกาสที่จะพูดคุยกับเธอ เมื่อเห็นเธอพูดคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง จึงขอตัวเพื่อนๆ แล้วเดินตรงเข้าไปที่ศรารัน
“ ขอโทษนะครับ ที่มาขัดจังหวะ ศรา พี่มีเรื่องจะขอพูดด้วย” รติเอ่ยขึ้น มองมาที่ทั้งสอง พินิจนัยสังเกตเห็นที่แววตาของศรารัน รับรู้ได้เลยว่า ผู้ชายคนนี้ มีผลต่อความรู้สึกของศรารัน เพราะเธอไม่ยอมมองหน้าชายคนนี้เลย พินิจนัยจึงขอตัว
“ เชิญ ตามสบายครับ” เมื่อพินิจนัยเดินออกไปแล้ว รติก็เอ่ยขึ้น
“ ศรา …….. พี่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำลงไป มันทำให้ศราเสียใจมาก ศราจะด่าว่า พี่ยังงัยก็ได้ แต่พี่อยากจะขอโทษศรา กับสิ่งที่พี่ได้ทำลงไป พี่เสียใจจริงๆ” รติพูด แต่ศรายังไม่ยอมมองหน้าเขา
“ พี่ไม่อยากเห็ศรา เมินเฉยกับพี่แบบนี้เลย เรากับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย แม้ว่าจะในฐานะพี่น้องก็ได้” รติพูด ศรารันหันมาสบตาเขา
“ เราไม่ต้องเป็นอะไรกันเลย มันจะดีกว่าค่ะ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งสองคนค่ะ แต่ถ้าพี่รติ อยากจะให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะก็ พี่ก็เลิกยุ่งกับเพลิงเพชรสิค่ะ พี่รติทำได้มั้ยล่ะ” ศรารันพูดอย่างถือตัว เมื่อเห็นรตินิ่ง เธอก็เบะปาก จะเดินไป แต่รติพูดขึ้น
“ ถ้าพี่เลิกยุ่งกับเพลิงเพชร เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ” ศรารันชะงัก เธอไม่คิดว่ารติจะพูดประโยคนี้ออกมา ที่เธอพูดไปแบบนั้น เพราะคิดว่ารติคงไม่ยอมเลิกกับเพลิงเพชร จึงหาข้ออ้าง ไม่ให้รติมายุ่งกับเธอ
“หมายความว่ายังงัยคะ” ศรารันถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ พี่รู้ว่า พี่เป็นคนไม่เอาไหน โลเลในความรัก แต่ตอนนี้ พี่มั่นใจแล้ว ว่าคนที่พี่รักคือศรา ส่วนกับเพลิงเพชร มันเป็นเพียงความหลงชั่วคราวเท่านั้น” รติพูด ศรารันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ ว่าผู้ชายตรงหน้าเธอนี่หรือ คือคนที่เธอเคยรักอย่างมากที่สุด
“ ศราว่า ถ้าพี่เป็นคนที่โลเลในเรื่องความรักมากล่ะก็ พี่ก็ไม่ควรจะมีความรักหรอกค่ะ เพรามันจะทำให้คนที่รักพี่ เสียใจมาก” ศรารันพูดแค่นั้นก็เดินไป ปล่อยให้รติมองตาม พร้อมกับความรู้สึกเสียใจ

ทางฝ่ายพินิจนัยก็กำลังคิดหนักเรื่องศรารันกับผู้ชายคนนั้น
สองคนนั้นเป็นอะไรกันหรือเปล่าวะ ขณะที่ เขาคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงสาวๆ สองสามคนกำลังเม้าส์ถึงสิ่งที่เขาอยากรู้อยู่พอดี
“ นี่เธอ เห็นมั้ย เมื่อกี้นี้นะ ฉันเห็นคุณรติพูดคุยกับอดีตว่าที่เจ้าสาวด้วยนะยะ สงสัยจะรำลึกความหลังกันมั้ง”
“ โอ้ยยย จะรำลึกอะไรกันยะ เป็นฉันนะไม่ยอมพูดด้วยหรอก ผู้ชายอะไร! ตัวเองจะแต่งงานกับผู้หญิงที่คบกันมาตั้งนานอยู่แล้ว สุดท้ายก็ไปคว้าเอาพี่สาวต่างแม่ที่ไม่ถูกกัน ของว่าที่เจ้าสาวตัวเอง จนทำให้ต้องพยายามฆ่าตัวตาย ดีนะที่รอดมาได้ นี่ก็หายไปเป็นเดือน นึกว่าเป็นบ้าไปรักษาตัวที่ไหน ที่ไหนได้กลับมาคราวนี้ สวยสง่า เหมือนเมื่อก่อนเลย สงสัยทำใจได้แล้วมั้ง”
“ ใครจะไปรู้ คราวนี้อาจจะมีศึก ชิงชายกลับคืนมาก็ได้ แหม พูดแล้วก็สนุกปากจริงๆเลย” พวกที่เม้าส์ พูดแล้วก็หัวเราะกันไป พินิจนัยได้ยิน ความจริงเขาแค่ทราบว่าศรารันถูกผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยทิ้งเธอไป คบกับคนอื่น แต่ไม่รู้ว่ามือที่สามจะเป็นพี่สาวต่างมารดา แล้วผู้ชายที่พูดคุยกับเธอเมื่อกี้ ก็คงเป็นผู้ชายที่ศรารันรักมาก เขาคิด แล้วรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินออกมาจากตัวงานกะว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ด้วยความที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหม่อลอยคิดอะไรอยู่ ทำให้เดินชนกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
“ อุ้ย!” หญิงสาวร้อง
“ เออ ขอโทษครับ!” พินิจนัยตกใจ รีบประคองหญิงสาวที่เกือบพลาดท่าล้ม เมื่อทั้งสองตาประสานกัน ต่างฝ่ายต่างยิ้มออกมา
“นัย!”
“เพชร” ทั้งสองเรียกชื่ออย่างพร้อมกัน
…………………………………….
ทั้งสองมานั่งพูดคุยกันนอกห้องที่จัดงาน เป็นโซฟาตามระเบียงของโรงแรม
“ อ๋อ ที่แท้ งานแต่งที่นัยว่า ก็คืองานนี้นี่เอง ดีใจจริงๆที่ได้พบนัยที่นี่ รู้มั้ยว่าเพชรกำลังเบื่ออยู่พอดีเลย” เพลิงเพชรทำหน้าเบื่อหน่าย
“ เบื่ออะไรล่ะ” พินิจนัยถาม
“ ก็……… ช่างมันเถอะ แล้วนี่นัยจะอยู่อีกนานใช่มั้ย เห็นว่าต้องจัดการเรื่องธุรกิจด้วย” เพลิงเพชรพูดอย่างดีใจ
“ อ๋อ ใช่ คงสักพัก” ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ ศรารันที่ออกมาคุยมือถือข้างนอก ก็เหลือบมาเห็น พินิจนัยอยู่กับเพลิงเพชร ดูพูดจาสนิทสนม ศรารันรู้สึกแปลกใจว่าทั้งสองคนรู้จักกันหรือ เธอรู้สึกไม่พอใจ
พูดกับตัวเอง
“ สองคนนี้รู้จักกันเหรอเนี่ย!”

ในใจเรา




ตอนที่ 23


วันต่อมา ศรารันนั่งรถออกมาจากรีสอร์ทริมเลแล้ว แม้ว่าตัวจะออกห่างมาจากที่นั่นเรื่อยๆ แต่ใจของเธอยังคงนึกถึงที่นั่น ซึ่งเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อมาถึงบ้าน คุณหญิงดรุณี ก็ออกมายืนรอหน้าบ้านอยู่แล้วพร้อมสามี ศรารันลงจากรถ เดินเข้าไปท่านทั้งสอง พลางกอดมารดา
“ สวัสดีค่ะคุณแม่” สองแม่ลูกกอดกัน คุณหญิงสำรวจลูกสาว รู้สึกโล่งใจที่ศรารันกลับมาเป็นปกติ
“แม่ดีใจจริงๆที่ ลูกกลับมา” คุณหญิงพูดอย่างมีความสุข ศรารันยิ้มรับ แล้วหันไปกอดบิดา
“ พ่อคิดถึงลูกมากเลยนะ แต่ก็ไม่อยากรบกวนเวลาของลูก เพราะพ่อคิดว่าศราคงต้องการเวลาที่จะอยู่ลำพัง ได้คิดและไตร่ตรองบางเรื่อง” โยธินพูดกับลูกสาว
“ ขอบคุณค่ะคุณพ่อ ต่อไปนี้ศราจะไม่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่เป็นห่วงอีกต่อไป ศราคนนี้จะเข้มแข็ง ศราสัญญาค่ะ” ศรารันพูดอย่างมั่นใจ ทำเอาผู้เป็นพ่อแม่ สบายใจยิ้มอย่างมีความสุข
…………………………………
ตกเย็น รติกลับมาบ้านเร็วกว่าทุกวัน ความจริงวันนี้เขามีนัด ดินเนอร์กับเพลิงเพชร แต่เธอเพิ่งโทรมายกเลิก โดยให้เหตุผลว่าปวดหัวขอนอนพัก พอเขาอาสาจะพาไปโรงพยาบาลเธอก็ปฏิเสธ บอกว่าอยากพักผ่อน เขาจึงตามใจ หลังๆมานี้ เขารู้สึกว่าเพลิงเพชรไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเขาตามลำพังเลย มีแต่เรื่องงานล้วนๆ บางครั้งเขารู้สึกว่าเพลิงเพชรแทบไม่ได้สนใจเขานัก เช่นเวลามีผู้หญิงมายุ่งเกี่ยวกับเขา เธอก็ไม่เคยแสดงอาการหึงหวงแม้แต่น้อย จนเขาแอบคิดว่าเพลิงเพชรรักเขาจริงๆหรือเปล่า
หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็หยิบมือถือขึ้นมากด โทรหาเพลิงเพชร แต่ไม่มีคนรับสาย เขาจึงวางสาย หันมามองรูปตรงหัวเตียง เป็นรูปที่เขาถ่ายคู่กับเพลิงเพชรเพียงรูปเดียว จากนั้นก็เดินไปเปิดลิ้นชักหัวเตียง หยิบรูปคู่อีกอันขึ้นมา เขาเอาออกมาเทียบกัน รูปที่เขาถ่ายคู่กับศรารัน มันเต็มไปด้วยความรักของคนทั้งคู่เดียวในขณะนั้น แต่อีกรูประหว่างเขากับเพลิงเพชร มันเหมือนกับว่าเขามีความสุขไปคนเดียว แววตาของเพลิงเพชรแข็งกระด้าง แม้ว่าดูผ่านๆจะยิ้มก็ตาม


อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ พินิจนัย ทำงานอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา จนสุชาติสังเกตเห็นว่า เขาทำงานหนักเกินไป ไม่ยอมปล่อยให้ว่าง บางทีก็อยู่ที่รีสอร์ท บางทีก็ไปที่ฟาร์มม้าของเขา แล้วก็ชอบทำหน้าเครียด หรือมีหงุดหงิดบ้าง จนสุชาติต้องทัก ขณะที่เขาเอาเอกสารมาให้พินิจนัยเซ็นในห้องทำงาน
“ คุณนัยมีเรื่อง เครียดอะไรหรือเปล่าครับ พักนี้ผมเห็นคุณนัยหงุดหงิดบ่อยๆ”
“เปล่า ผมก็ปกติดี” ปากบอกว่าปกติ แต่สีหน้าของเขาเครียดและหงุดหงิดจนสุชาติไม่กล้าพูดต่อ
เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตั้งแต่ศรารันจากที่นี่ไป เขาเองก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้ว่าง เพราะไม่เช่นนั้น เขาก็จะนึกถึงแต่เธอ

อย่าว่าแต่ฝ่ายพินิจนัยเลย ศรารันก็เป็นเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจตัวเองจริงๆเลย ที่ชอบนึกถึงเขาตลอดเวลา ทำไมเธอต้องไปนึกถึงผู้ชายที่ชอบกวนประสาทก็ไม่รู้
ตั้งแต่กลับมาศรารันยังไม่ได้ออกไปไหนเลย เธอกะไว้ว่าจะออกไปข้างนอกตอนงานแต่งงานของพี่กานต์ ถือเป็นการแสดงตัวต่อสังคมไฮโซไปเลย ว่าเธอกลับมาแล้ว เพราะเธอเองก็รู้ว่าตนคงตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่นานพอสมควร
ที่บริษัทของรติ รติเอ่ยชวนเพลิงเพชรให้ไปร่วมงานแต่งงานของพี่สาวที่เป็นญาติกันของเขา
“ ผมอยากให้คุณไปกับผมหน่อย ได้มั้ยครับ”รติพูดในห้องทำงานของเขา ขณะที่เพลิงเพชรเอาแฟ้มเอกสารมาให้เขาเซ็น เพลิงเพชรมองหน้าเขา ใจจริงเธอเองก็ไม่อยากไป แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธเขา
“ ก็ได้ค่ะ เมื่อไหร่ค่ะ”
“ พรุ่งนี้เย็นครับ เป็นงานเลี้ยงที่โรงแรม” รติบอก
…………………………..
ณ คอนโดใจกลางเมืองหลวง พินิจนัยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ผมฝากทางนั้นด้วยนะคุณสุชาติ ดูแลให้เรียบร้อย ผมคงต้องอยู่ที่นี่อีกยาว” พินิจนัยพูด
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลให้เรียบร้อยครับ” ปลายสายรับปาก
“ ดี งั้นแค่นี้แหล่ะครับ” พินิจนัยวางสาย มองมือถือ พลางคิดอะไรออก เอ๊ะ! ความจริงเราก็มีเบอร์คุณศรา นี่หว่า เขาทำท่าจะกดโทรออก แต่ก็เปลี่ยนใจ แกมันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย ไอ้พินิจนัยเอ้ย!

เมื่อถึงวันงานสมรสของกานต์ พิธีหมั้นตอนเช้าผ่านไปเรียบร้อย มีแต่ญาติสนิทไม่กี่คน
ส่วนช่วงเย็นเริ่มมีแขกทยอยมา ทางฝ่ายพินิจนัยใส่ชุดสูทดูหล่อ จนสาวๆชายตามองกันเป็นแถว ทำเอาเขาแอบเขินบ้าง แต่ก็ทำเป็นเก๊กไว้ เขาเดินเข้าไปหาเจ้าบ่าวซึ่งเป็นเพื่อนและเป็นลูกชายเพื่อนพ่อของเขา
“งัยวะ เจ้าบ่าว หล่อไม่เบาเลยนะ” พินิจนัยทักอย่างสนิท จนเจ้าบ่าวหัวเราะ
“ ดีใจจริงๆที่แกมา ฉันนึกว่าแกจะไม่มาซะแล้ว ไอ้นัย” ตรีทัพพูด
“ ต้องมาสิ เพื่อนจะมีภรรยาทั้งที ต้องมาร่วมฉลองหน่อย” ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกัน เจ้าสาวก็ออกมาจากห้องแต่งตัว ตรีทัพจึงแนะนำให้รู้จักกัน
“ นี่งัย เจ้าสาวแสนสวยของฉัน ส่วนนี่เพื่อนผม พินิจนัย” ทั้งคู่จึงพูดคุยกัน หลังจากนั้นพินิจนัยก็ขอเข้าไปในงานก่อน ปล่อยให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้อนรับแขกหน้างาน รติควงคู่มากับเพลิงเพชร มาแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว กานต์ไม่ค่อยชอบเพลิงเพชร เพราะเป็นต้นเหตุให้รติเลิกรากับ
ศรารัน แต่เธอก็เก็บอาการไว้
“ยินดีด้วยนะครับ พี่กานต์ พี่ตรี” รติพูด
“ขอบใจจ่ะรติ” กานต์พูด พลางมองชะเง้อเหมือนรอใครอยู่ จนตรีทัพต้องถาม
“มองหาใครหรือกานต์”
“อ๋อ มองหาเพื่อนน่ะค่ะ ไม่รู้ทำไมยังไม่มา” กานต์ไม่พูดตามตรง จริงๆแล้วเธอรอศรารันอยู่ รติกับเพลิงเพชรจึงเข้าไปด้านในงาน

เมื่อเวลาผ่านไปนาน จนถึงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องเข้าไปในงานแล้ว กานต์จึงคิดว่าศรารันคงไม่มาเธอจึงเตรียมเดินเข้าไปในงาน แต่มีเสียงหนึ่งเรียกเธอไว้
“พี่กานต์คะ” กานต์หันกลับมามอง แล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ
“ศรา! พี่นึกว่าเราจะไม่มาซะแล้ว” ทั้งสองกอดกันอย่างดีใจ
“ต้องมาสิคะ วันนี้เป็นวันสำคัญของพี่ ทำไมศราจะไม่มาล่ะคะ” ว่าแล้วศรารันก็หันไปทางตรีทัพ
“ยินดีด้วยนะคะพี่ตรี ที่มีเจ้าสาวแสนสวยและก็แสนดีแบบนี้”
“ขอบคุณครับ” ตรีเทพพูดยิ้ม กานต์จับมือศรารันเข้าไปในงาน ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับแขกที่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวในงาน นักข่าวเริ่มมีการถ่ายรูป และเริ่มมีเสียงกระซิบให้ได้ยิน หลายสายตาเริ่มมองมาที่ศรารัน
“เอ๊ะ! นี่ศรารัน ลูกสาวคุณโยธิน กับคุณหญิงดรุณีนี่ ไหนว่าเป็นบ้า ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หายดีแล้วเหรอ ถึงได้โผล่มา” เสียงนินทาแว่วมาให้ได้ยิน
“ฉันได้ยินว่า แอบไปรักษาตัวที่เมืองนอกมา ไม่รู้ว่ายังบ้าอยู่หรือเปล่า” นี่ก็ข่าวมั่ว
“ รู้มั้ย ว่าถึงขั้น พยายามฆ่าตัวตายเลยนะเธอ”
เสียงนินทา ของพวกขาเม้าส์แว่วมาให้ได้ยินตลอด
และก็มีบางพวก เช่นพวกผู้ชาย พูดว่า
“ สงสัยทำใจได้แล้วมั้ง กลับมาคราวนี้ถึงสวยมากๆ ก่อนหน้านั้นตอนอกหัก ปล่อยตัวซะโทรมจนดูไม่ได้”


ศรารันไม่สนใจคำพูดพวกนั้นแม้แต่น้อย ยังคงหน้านิ่ง มองไปรอบๆงาน ฝ่ายเพลิงเพชรและรติเห็นผู้คนมองไปทางเดียวกันก็มองตาม เมื่อเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในคืนนี้ ก็ตกใจ รติรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ส่วนเพลิงเพชรมองอย่างตกใจ และเปลี่ยนเป็นแววตาที่เกลียดชัง ดูน่ากลัว
ศรารันหันมาเจอกันพอดี ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความเกลียดชัง จ้องกันอยู่นาน ศรารันก็เลื่อนสายตามาทางรติ แววตาของเธออึดอัดใจเล็กน้อย เธอเองยังไม่อยากจะเจอเขาด้วยซ้ำ เพลิงเพชรเห็นแววตาของศรารันที่มองรติ ก็เหยียดยิ้มใส่ แล้วคว้าแขนรติมาคล้องไว้ เพราะคิดว่าจะทำให้ศรารันไม่พอใจ ศรารันทำเป็นเมินเฉย แล้วเดินไปตรงอื่น เพราะมัวแต่หงุดหงิดของศรารันจึงเดินไม่ดูไปชนแขกอีกคนที่ถือแก้วไวน์อยู่ จนเลอะเสือของเขา
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ” ศรารันรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ” อีกฝ่ายมัวแต่ก้มดูเสื้อของตนอยู่ ไม่ได้มองหน้าหญิงสาว
ศรารันพยายามจะเช็ดให้ มองหน้าเขา แล้วก็รู้สึกคุ้นๆ แล้วจำได้ทันที
“คุณ!” ศรารันชี้หน้าร้องตกใจ พินิจนัยเงยขึ้นมามอง แล้วก็ตกใจไม่แพ้กัน
“คุณ!”

ในใจเรา




ตอนที่ 22


เมื่อเดินเข้ามาในบ้านพัก ศรารันก็รู้สึกสับสนภายในใจตนเอง เธอพยายามบอกกับตนเองว่า ไม่ได้คิดอะไรกับพินิจนัยเกินเลยไปกว่าคนรู้จัก ระหว่างที่คิดอยู่นั้น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์จึงหยิบขึ้นมาอ่าน เมื่อเปิดหน้าข่าวสังคมก็เห็นข่าวการประกาศแต่งงานของรุ่นพี่ที่สนิทรู้จักกัน
“เอ๊ะ นี่พี่กานต์จะแต่งงานเหรอเนี่ย” ศรารันพูดกับตนเอง จากนั้นก็ไปหยิบมือถือที่ชาร์ตทิ้งไว้หลังจากปิดไว้เป็นเดือนไม่เคยเปิดเลย เปิดเครื่องแล้วกดโทรออก
ปลายสายรับด้วยเสียงตื่นเต้น
“น้องศรา โทรมาได้ไงเนี่ย พี่ดีใจจริงๆเลย รู้มั้ยว่าพี่ติดต่อศราไม่ได้เลย” กานต์พูดอย่างดีใจ
“พอดีศราเพิ่งเปิดเครื่องค่ะ แล้วศราก็เห็นข่าวที่พี่กานต์จะแต่งงานก็เลยโทรมาถาม”
“ใช่ พี่จะแต่งงาน พี่ได้บอกคุณอาโยธิน ให้ฝากบอกศราด้วย ว่าให้มางานให้ได้ แต่เห็นคุณอาบอกว่า ศราอาจจะยังไม่พร้อมออกมาพบปะใครๆโดยเฉพาะ……..” กานต์หยุดพูดชื่อคน ที่คิดว่าศรารันอาจจะไม่อยากได้ยิน แน่นอนว่างานนี้รติต้องมาแน่ๆเพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกานต์
ศรารันเงียบไปพักหนึ่ง มีแววตาแห่งความเจ็บปวดเข้ามา ก่อนจะพูด
“ ศราจะไปค่ะ ยังไงพี่กานต์ก็เปรียบเสมือนพี่สาวของศรา แล้วเราค่อยพบกันวันงานของพี่นะคะ” ศรารันพูด ก่อนวางสาย คงถึงเวลาที่เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงสักที เธอได้โทรไปบอกที่บ้านว่าอีกสองวันจะกลับแล้ว ให้ส่งคนมารับเธอ ทีแรกโยธิน กับคุณหญิงดรุณีจะมาเอง
แต่ศรารันปฏิเสธ เธอขอแค่คนขับรถพอ ทั้งสองท่านจึงตามใจ

ตื่นเช้ามาศรารันไปเดินเล่นที่ชายทะเล มองบรรยากาศไปรอบๆ ทั้งท้องฟ้า ทะเล
และตัวรีสอร์ทริมเล เธออยากจะจดจำที่แห่งนี้เอาไว้ให้นานที่สุด เพราะเป็นที่ที่ทำให้เธอ ลืมความทุกข์ไปได้มาก ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นบ้าง แต่มันก็ถือเป็นความทรงจำที่ดี เพราะผู้ชายคนหนึ่งได้ช่วยเธอเอาไว้ เขาไม่ได้ช่วยแค่ตัวเธอเท่านั้น แต่ยังช่วยภาวะทางจิตใจของเธอให้ดีและเข้มแข็งขึ้น ระหว่างที่เธอเดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นพินิจนัยกำลังพูดคุยกับแขกตรงหน้ารีสอร์ท เมื่อเห็นว่าพวกเขาพูดคุยกันเสร็จแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปหาเขา
“ อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ คุณเจ้าของรีสอร์ท” ศรารันทักยิ้มๆ พินิจนัยหันมา
“อ้าว นึกว่าสาวที่ไหนมาทักผม ที่แท้ก็คุณนั่นเอง” พินิจนัยแกล้งพูด
“ทำไม? ปกติมีสาวๆมาทักบ่อยล่ะสิ”
“โอ้ย เยอะแยะครับ นับไม่ถ้วน” พินิจนัยพูดอย่างกะล่อน จนศรารันทำหน้าหมั่นไส้
“แหว่ะ คุณนี่มันหลงตัวเองเกินไปหรือเปล่าฮะ น้อยๆหน่อยก็ดีนะ”
พินิจนัยหัวเราะ “ ผมเปล่าสักหน่อย ก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นเองครับ”ศรารันส่ายหน้าแต่ก็แอบยิ้ม
“แล้วนี่ คุณทานข้าวเช้าหรือยังครับ” พินิจนัยเอ่ยถาม ศรารันส่ายหน้า
“งั้นไปทานพร้อมผมดีกว่า” ว่าแล้วพินิจนัยก็เดินนำหน้าไปเลย ปล่อยให้ศรารันทำหน้าเหวอ
นี่เขาชวนผู้หญิงทานข้าวแบบนี้หรือเนี่ย

เมื่อมาที่ห้องอาหารของรีสอร์ท
หลังจากที่ทั้งสองก็สั่งอาหาร ศรารันก็พูดขึ้น
“แน่ใจนะ ว่าเมื่อกี้คุณชวนฉันทานข้าว”
“ทำไมหรือครับ” พินิจนัยมองหน้า
“ก็อยู่ๆคุณก็พูดว่าให้มาทานข้าว พร้อมคุณ จากนั้นก็เดินนำมาเลย ไม่ฟังคำตอบของฉันว่าฉันอยากจะมาทานข้าวกับคุณหรือเปล่า”
“ถ้าคุณไม่อยากมา ก็คงไม่มานั่งตรงนี้หรอกครับ ใช่มั้ย” พินิจนัยพูดกวนๆ
“หรือว่าคุณอยากให้ผมคุกเข่าแล้ว พูดกับคุณว่า คุณศรารันครับ ได้โปรดให้เกียรติไปทานข้าวกับกระผมสักมื้อได้มั้ยครับ”
ศรารันมองหน้า พินิจนัย แล้วว่า “ จะบ้าหรือไง ใครเขาอยากจะให้ทำแบบนั้นกันเล่า” พินิจนัยหัวเราะ
“ผมล้อเล่นน่า” เมื่ออาหารมาเสริฟต์ ทั้งคู่ก็รับประทานพลางพูดคุยกันจนถึงเรื่องที่ว่า
“ พรุ่งนี้ ฉันจะกลับบ้านแล้วนะ” ประโยคนี้ทำเอาพินิจนัยแทบอิ่มเงยหน้า
ขึ้นมองศรารัน
“ เหรอครับ” พินิจนัยฝืนยิ้ม “ คุณคงคิดถึงบ้านใช่มั้ยครับ”
ศรารันก็ทำหน้าบอกไม่ถูก เธอเองก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
“ ฉันว่า มันถึงเวลาที่ฉัน ควรจะกลับไปพบกับความจริง ดีกว่าที่จะมาคอยหลบอยู่แบบนี้”
“มันก็จริงอย่างที่คุณพูด คนเราไม่สามารถหนีอะไรได้ไปตลอดชีวิตหรอก” พินิจนัยพูด พยายามทำให้เป็นเสียงปกติ ทั้งสองมองตากัน

ตกกลางคืน ศรารันเก็บข้าวของเรียบร้อย ก็ออกมาเดินเล่น อยู่ใต้ต้นลีลาวดีหรือลั่นทม แล้วนั่งดูพระจันทร์และดาวบนท้องฟ้าที่เต็มไปหมด
ทางฝ่ายพินิจนัยก็นอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่นเรื่อยๆ มารู้สึกตัวอีกที มาอยู่ที่หน้าบ้านพักของ
ศรารัน เขามองอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับพลางเหลือบไปเห็นหญิงสาวกำลังนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ เขาแอบดีใจ แล้วเดินเข้าไปทัก
“ ยังไม่นอนอีกเหรอครับคุณ นอนดึกระวังแก่เร็วนะ” ศรารันหันมามอง
“ก็ฉันไม่ง่วง แล้วคุณล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก”
“ผมก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”พินิจนัยพูด นั่งลงข้างๆศรารัน
“ ท้องฟ้ามีอะไรหน้ามองหรือครับ เห็นมองตั้งนาน”
“ ก็ดาว กับพระจันทร์งัย เห็นมั้ยล่ะว่าสวยแค่ไหน” ศรารันพูดตายังคงมองท้องฟ้าอยู่
“นั่นสิครับ สวยจริงๆ ผมเองก็ชอบมองดาวกับพระจันทร์เหมือนกัน สองสิ่งนี้เป็นอะไรที่คู่กันจริงๆ คุณว่ามั้ยครับ” พินิจนัยเอ่ยถาม
“ แต่ก็มีบางคืน ที่ไม่มีดาวแต่มีพระจันทร์ หรือไม่ก็ มีดาว แต่ไม่มีพระจันทร์” ศรารันพูด
“ ไม่ใช่ว่าไม่มีหรอกครับ เพียงแต่เราไม่เห็นมากกว่า ความจริงมันก็อยู่ของมันเหมือนเดิมแหล่ะครับ ถ้าอยากเห็นจริงๆ ก็ต้องใช้ใจมองสิครับ แล้วคุณจะเห็นเอง” คำพูดของพินิจนัยทำเอาศรารันหันมามองหน้าเขา
“คุณนี่ก็พูดจาซึ้งเป็นกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย”
“มันก็ต้องมีบ้าง ผู้หญิงจะได้หลงงัยครับ” พินิจนัยพูดยิ้มๆ ศรารันเองก็ยิ้มกับคำพูดของเขา
“แล้วถ้าให้ คุณเลือก ว่าจะเป็นอะไร ระหว่าง พระอาทิตย์ พระจันทร์ และก็ดวงดาว คุณจะขอเกิดเป็นอะไร” ศรารันถาม พินิจนัย ทำท่าคิด
“พระอาทิตย์ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้แสงสว่างแก่ทุกสิ่ง แต่ผู้คนมองมันได้แค่แป็บเดียว ก็ไม่อยากมอง
พระจันทร์ ให้แสงไม่มาก แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อความมืดมิด ใครๆก็สามารถมองมันได้
ดวงดาว มีแสงน้อยมาก แต่มีหลายดวง ประดับอยู่บนฟ้ายามค่ำคืนอย่างสวยงาม และอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนพระจันทร์เสมอ ถ้าผมต้องเลือกจริงๆ ผมก็ขอเกิดเป็นพระจันทร์ ที่คอยให้แสงสว่างแก่ความมืดมิด และก็มีดาวอยู่เป็นเพื่อนอีกมากมาย ไม่โดดเดี่ยวเหมือนพระอาทิตย์ ที่ยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ไร้สิ่งรอบข้าง”
ศรารันแอบประทับใจพินิจนัยอยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้มีความจริงก็แอบโรแมนติกเหมือนกัน
“ ดวงดาวที่คุณว่านี่ คงจะหมายถึงพวกสาวๆล่ะสิ”
“ถ้าเป็นได้ก็ดีครับ” พินิจนัยพูดหน้าตาย ศรารันทำหน้าหมั่นไส้
“ แต่ผมจะให้คุณเป็นดาว ดวงที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า ดีมั้ยครับ” พินิจนัยพูด
“ ทำไมล่ะ”
“ ก็ดาวที่สว่างที่สุด ก็คือดวงที่สวยที่สุดเหมือนกัน” พินิจนัยพูดจาหยอด ทำเอาศรารันแอบเขิน แต่ก็ทำเป็นหน้านิ่ง
“ นี่ก็ดึกแล้ว ฉันไปนอนก่อนดีกว่า” ศรารันทำท่าลุก พินิจนัยก็พูดขึ้น
“พรุ่งนี้ ผมคงไม่เจอคุณแล้ว เพราะมีธุระแต่เช้า เอาเป็นว่าผมขอให้คุณโชคดีละกัน ถ้าว่างๆ ก็มาพักที่ริมเลได้ตลอด ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณเสมอ ให้พักฟรีๆเลยครับ” พินิจนัยพูด ศรารันมองหน้าเขา รู้สึกใจหาย ที่พรุ่งนี้จะไม่ได้พบเขาแล้ว แต่แล้วก็ทำเป็นฝืนยิ้ม แกล้งพูด
“ ดีจริงๆเลย เดี๋ยวฉันจะมาพักฟรี บ่อยๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันเข้าไปนอนก่อนนะ” ว่าแล้วศรารันก็รีบหันหลังเดิน เพราะกลัวว่าจะฝืนยิ้มได้ไม่นาน พินิจนัยมองตาม ด้วยสีหน้าเศร้า ความจริงแล้วพรุ่งนี้เขาไม่ได้มีธุระอะไรเลย เพียงแต่ไม่อยากให้ศรารันจับความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้
………………………………….

ในใจเรา



ตอนที่ 21


มันจับเธอเข้าไปหากลุ่มคนพวกนั้น
“ โอ้ยยยย ฉันเจ็บนะ” ศรารันร้อง กลุ่มคนหันมามอง โดนเฉพาะพนา ที่เห็นไกลๆ ร้องถาม
“เฮ้ย! มีอะไรวะ” พนาเดินมาพอเห็นศรารันก็งง ว่าหนีมาได้ไง เริ่มโมโห
“ คุณหนีออกมาได้ไง!” ศรารันไม่ตอบ
“ หึ ร้ายนักนะ!” ระหว่างที่เขาจับแขน ศรารัน แล้วต่อว่าเธออยู่ ตำรวจที่แอบซุ่มอยู่ ก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“นั่นคงจะเป็น ผู้หญิงที่ไอ้พนาจับมา แล้วอีกคนอยู่ไหน”ผู้กองวิทย์พูด
“มันอาจจะขังไว้ที่บ้านของมันก็ได้” ลูกน้องคนหนึ่งพูด
“เราส่งคนของเราไปที่บ้านมันแล้วส่วนหนึ่ง เดี๋ยวก็รู้กัน” ผู้กองวิทย์พูด



ทางฝ่ายพินิจนัยที่แอบตามตำรวจมาที่บ้านพักของนายอิสระซุ่มดู เมื่อเห็นว่าตำรวจจับลูกน้องของพวกมันที่เฝ้าบ้าน แล้วพาเกร็ดดาวออกมาในสภาพเหนื่อยล้า แต่เขาไม่เห็นศรารันจึงแปลกใจ หรือว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็คิดว่าเธออาจจะอยู่กับพนา จึงไปที่จุดส่งไม้เถื่อน เดินเข้าไปหาผู้กองวิทย์
“เฮ้ย! แกมาได้ไงเนี่ย ฉันขอร้องแกไว้แล้วนะเว้ย!” ผู้กองวิทย์พูดอย่างบ่นๆ
“เอาเถอะน่า ก็ฉันมาแล้วนี่หว่า” พินิจนัยพูดพลางมองไปข้างหน้า แล้วเห็นศรารัน ก็ตกใจ
“ คุณศรา นี่หว่า อยู่นี่จริงๆด้วย” พินิจนัยเป็นห่วงศรารัน ผู้กองวิทย์มอง อย่างสงสัย
“แน่ใจหรือวะ ว่าเป็นแค่แขกธรรมดา”
พินิจนัยไม่สบตา พลางบอกว่าให้รีบจัดการเร็วๆ
ผู้กองวิทย์ให้สัญญาณบุก ตำรวจกระจายกำลัง พวกของอิสระรู้ตัวแล้ว
“ เฮ้ย! ตำรวจ” อิสระตะโกน พลางหยิบปืนยิงตอบโต้ ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด
พนาฉุดแขนศรารันวิ่งหนีไปอีกทาง พินิจนัยที่จับตาอยู่ก็วิ่งตามออกไป
พอวิ่งมาได้สักระยะศรารันก็ล้มลงวิ่งไม่ไหว พนาฉุดให้ลุกแต่เธอไม่ไหวจริงๆ ทำให้พินิจนัยตามมาทัน
“ปล่อยคุณศรา เดี๋ยวนี้นะไอ้พนา!”
พนาและศรารันกลับหันไปมอง
“แกเองเหรอ ไอ้นัย! ดี วันนี้ฉันจะฆ่าแกด้วยมือฉันเอง” พนาทำท่าจะยิงแต่ศรารัน ซึ่งอยู่ใกล้พนา ชนพนาจนเสียหลัก ทำให้ปืนลั่นไปที่อื่น ศรารันวิ่งไปหาพินิจนัย
พนาตั้งหลักได้หยิบปืนขึ้นมา เล็งไปที่ทั้งคู่
พินิจนัยเห็นจึงผลักศรารันล้มลงไปทั้งคู่ พร้อมๆกับเสียงปืน!
เขาถูกยิงที่แขน เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้กองวิทย์ไล่ตามมาและสั่งให้พนามอบตัว แต่เขายิงสวน ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องวิสามัญ พนาขาดใจตาย!
ทุกอย่างเรียบร้อย นายอิสระถูกตำรวจควบคุมตัวพร้อมกับลูกน้อง
“เจ็บมากมั้ยคุณ” ศรารันเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกใจขณะที่ทั้งคู่เดินมาที่รถ
“แค่นี้ไม่ตายหรอกน่าคุณ ไกลหัวใจตั้งเยอะ” พินิจนัยพูดยิ้มๆ แม้ว่าจะเจ็บก็เหอะ
“แล้ว คุณดาวล่ะ” ศรารันเอ่ยถาม ผู้กองวิทย์จึงตอบแทน “ตอนนี้เราส่งคุณดาวไปโรงพยาบาลแล้ว ดูจากสภาพจิตใจของเธอแล้วคงจะตกใจมาก ทางเราแจ้งไปทางพ่อแม่ของเธอแล้ว”
ศรารันไม่พูดต่อ เธอคิดว่า เธอรู้ว่าเกร็ดดาวโดนอะไร
“ว่าแต่คุณเถอะ เป็นไงบ้าง” พินิจนัยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ ฉันปลอดภัย เรียบร้อยดีทุกอย่าง พวกมันไม่ได้ทำอะไร ฉันหรอก”
พินิจนัยค่อยโล่งใจ หลังจากนั้นพินิจนัยก็ถูกพาไปโรงพยาบาล ส่วนศรารันก็ไปให้ปากคำ เธอไม่ได้บอกตำรวจว่าเกร็ดดาวมีส่วนรู้เห็น บอกแค่ว่าพนาจับทั้งคู่ไป เพื่อล่อให้พินิจนัยมาหาแล้วกะจะฆ่า

สองสามวันผ่านไป เกร็ดดาวมาหาศรารันที่รีสอร์ทและขอบคุณที่ไม่เอาเรื่องเธอ พร้อมกับขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมา ศรารันไม่ถือโทษ เพราะคิดว่าสิ่งที่เกร็ดดาวได้รับมันก็ทุกข์พออยู่แล้ว
“ ต่อไปนี้เราจะมีแต่มิตรภาพที่ดีต่อกันนะคะ” เกร็ดดาวพูด
“ค่ะ” ศรารันพูดพลางยิ้มให้

………………………………….
ถึงแม้ว่า พินิจนัยจะยังไม่หายดี แต่เขาก็ไม่อยากอยู่โรงพยาบาล ขอหมอ กลับมาพักที่บ้าน
ระหว่างที่พินิจนัยกำลังเดินดูความเรียบร้อยของรีสอร์ทอยู่ ศรารันก็เดินเข้ามา
“ จะขยันไปไหนไม่ทราบ ตัวเองยังไม่หายดี ไม่รู้ว่าจะรีบออกมาทำไมกัน”
พินิจนัยยิ้ม “ ก็ผมไม่อยากอยู่โรงพยาบาล เห็นแต่หน้าหมอ กับพยาบาล และก็ห้องสี่เหลี่ยมๆ สู้ที่นี่ก็ไม่ได้ ทิวทัศน์สวยงามกว่าเยอะ แถมผู้คนก็หน้ามองกว่าแยะ”ประโยคหลังเขามองมาที่ศรารัน ซึ่งเธอกำลังมองไปที่ทะเล
“ นั่นสินะ ก็ที่นี่มันสวยจริงๆ” พินิจนัยยังคงมองศรารันอยู่
“ใช่สวยมาก” เขาพูด ศรารันหันกลับมาพินิจนัยรีบหลบสายตามองไปที่อื่น
“ว่าแต่ ฉันยังไม่ได้ขอบคุณ คุณเลย เรื่องที่คุณช่วยฉันไว้”
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของพระเอกอยู่แล้ว” พินิจนัยยักคิ้วตอบ จนศรารันหมั่นไส้
“แหวะ หมั่นไส้จริงๆเลย”
“ อ้าว คุณไม่รู้หรือครับว่าเรื่องนี้ ผมเป็นพระเอก” พินิจนัยพูดอย่างทะเล้น จนศรารันขำ ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ เธอรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเวลาที่ได้พูดคุยกับผู้ชายคนนี้ เขาเป็นคนที่ทำให้เธอยิ้มและหัวเราะได้มากที่สุด ซึ่งเธอไม่ได้ยิ้มและหัวเราะมานานแล้วนับตั้งแต่……….
“ ปกติ คุณจะพักอยู่ที่นี่เหรอ แล้วบ้านคุณล่ะ” ศรารันเอ่ยถาม
“ส่วนใหญ่ผมจะอยู่ที่นี่ ส่วนบ้านของผม ต้องนั่งเรือไป อยู่ที่เกาะใกล้ๆรีสอร์ทนี้แหล่ะ แม่ผมอยู่ที่นั่น” พินิจนัยพูด
“ที่นั่นสวยมากมั้ย”
“สวยสิครับ คุณพ่อของผม รักบ้านหลังนั้นมาก คุณรู้มั้ย ว่าที่บ้านของผมมีต้นลีลาวดีดอกสีขาว ตั้งหลายต้น เวลาออกดอกมันจะสวยมากๆ” พินิจนัยพูดยิ้มๆ
“คุณคงชอบดอกลีลาวดีสีขาวมากสินะ เพราะฉันเห็นว่าที่รีสอร์ทนี่ ก็มีต้นนี้เยอะเหมือนกัน” ศรารันมองไปรอบๆ
“ครับ ผมว่ามันสวยดี มองทีไรก็รู้สึกดี ”
“ ก็จริงอย่างที่คุณพูด” ศรารันเห็นด้วย
“ แล้วคุณ อยากจะไปเห็นบ้านของผมมั้ยครับ ผมจะได้พาไป” พินิจนัยเอ่ยชวน
ศรารันทำท่าคิด “ จะรบกวนคุณเกินไปหรือเปล่า” เธอถามอย่างเกรงใจ
พินิจนัยยิ้ม “ ไม่หรอกครับ ผมยินดีด้วยซ้ำไป เอาเป็นว่าเราไปวันนี้ ตอนนี้ยังได้เลย”
ศรารันตกลง ทั้งคู่จึงขึ้นเรือเดินทางไปที่บ้านของพินิจนัย
ระหว่างอยู่บนเรือ พินิจนัยซึ่งขับเรืออยู่ ก็เล่าว่า
“ผมลืมบอกคุณไป ว่า เกาะของผมมีชื่อว่า เกาะแห่งรัก คุณพ่อผมตั้งชื่อเอง ท่านก็เลยสร้างบ้านที่นั่น”
“ ท่าทางคุณพ่อของคุณ คงจะเป็นคนที่โรแมนติกมากๆเลยนะคะ”
“คงงั้นมั้งครับ ………….. ตอนที่ท่านจากผมไป ผมจำได้ว่า ผมเสียใจมาก ใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจยอมรับได้ คุณแม่ของผมเสียอีก ที่เข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ให้ผมเห็นสักครั้ง ผมรู้ว่าท่านเสียใจไม่แพ้กัน แต่ท่านก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้ผมเห็น พอผมทำใจได้ ผมก็สัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด”
พินิจนัยพูดสายตาเศร้าลง ศรารันมองหน้าเขา พลางคิดว่า ผู้ชายคนนี้บางทีก็มีมุมที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็น เขาเองก็มีเรื่องที่เสียใจเหมือนกัน

เมื่อมาถึง ศรารันพิจารณามองเกาะแห่งรัก และบ้านสองชั้นสีขาวที่สวยงาม บริเวณรอบบ้านมีต้นลีลาวดีหลายต้นอย่างที่เขาเล่า พวกมันออกดอกสีขาวสะพรั่ง ศรารันอดที่จะยิ้มและชื่นชมไม่ได้
“ที่นี่สวยจริงๆด้วย”
“ถ้าคุณชอบ จะอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ” พินิจนัยพูดยิ้มๆ ศรารันมองหน้า แกล้งพูด
“นายจะยกที่นี่ให้ฉันหรือไง”
“ ถ้าคุณอยากได้ คุณก็พาคุณพ่อคุณแม่ของคุณ ยกขันหมากมาสู่ขอผมสิครับ เราจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันไง” พินิจนัยพูดอย่างทะเล้น ศรารันมองค้อน
“บ้า! คุณนี่ติงต๊องจริงๆเลย” พินิจนัยหัวเราะ ก่อนจะพาศรารันไปแนะนำกับมารดาของตน
เมื่อเข้าไปในบ้าน พินิจนัยก็ถามหามารดาจากเด็กในบ้าน
“ คุณแม่ล่ะ แวว”
“นายหญิง อยู่ในครัวค่ะ” ว่าแล้วพินิจนัยก็ให้ศรารันรออยู่ที่ห้องรับแขก ส่วนตนก็ขอตัวไปหามารดา

หญิงสาววัยห้าสิบกำลังทำกับข้าวอยู่ พินิจนัยสวมกอดทางด้านหลัง
“ ทำอะไรทานครับ นายหญิง” พินิจนัยพูดยิ้มๆ
“ จะมาทำไมไม่บอกแม่ก่อน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถาม
“ บอกก็ไม่เซอร์ไพส์ สิครับ แล้วอีกอย่าง ผมมีคนที่อยากจะแนะนำให้แม่รู้จัก” พิณพาสงสัย
“ใครกัน ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงครับ”
“คนพิเศษของลูกเหรอ”
“ เปล่าหรอกครับ เธอเป็นแขกที่มาพักรีสอร์ทของเราครับ”
“แน่ใจเหรอ ว่าเป็นแค่แขก” มารดามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ปกติลูกชายของเธอไม่เคยพาหญิงสาวที่ไหนมาแนะนำให้รู้จักถึงที่นี่
พินิจนัยหลบสายตา
“จริงสิครับ” พิณพาแอบยิ้ม เธอรู้จักนิสัยลูกชายของเธอดี ไม่ชอบแสดงออกเรื่องความรัก และอายที่จะบอกว่ารักใคร
ศรารันนั่งมองภายในบ้าน ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม พินิจนัยเดินมาพร้อมกับมารดา
“คุณศราครับ นี่คุณแม่ของผมครับ” ศรารันยกมือไหว้พลางยิ้ม
“สวัสดีค่ะ”
“ส่วนนี่ คุณศรารันหรือศราครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักจ่ะ” พิณพาพูด เธอรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวคนนี้ ผู้หญิงคนนี้สินะ ที่ทำให้ลูกชายของเขาไขว้เขว
ทั้งหมดรับประทานอาหารกลางวันพูดคุยกันโดยเฉพาะพิณพากับศรารัน พูดจาถูกคอกัน จนพินิจนัย แอบงอน


เมื่อใกล้เย็นพินิจนัยและศรารันต้องกลับแล้ว จึงขอตัวกลับ
“วันหลังก็มาอีกนะจ๊ะ หนูศรา แม่คอยอยู่”
“ค่ะ ถ้ามีโอกาส ศราจะแวะมาเยี่ยมคุณแม่อีกนะคะ”
ทั้งสองกอดกัน พินิจนัยแอบยิ้ม
หลังจากที่พินิจนัยและศรารันกลับไปแล้ว สาวใช้ในบ้านกับพิณพาก็พูดกันถึงศรารัน
“ ผู้หญิงที่คุณนัยพามา สวยดีนะคะ ดูท่าทางจิตใจดี” แววพูด
“ถ้าได้มาเป็นลูกสะใภ้ ก็คงจะดีสินะ แต่ไม่รู้ว่าหนูศรา คิดยังไงกับตานัยน่ะสิ” พิณพาพูด


เมื่อจอดเรือพินิจนัยก็ลงมาจากเรือ ขณะที่ศรารันกำลังลงจากเรือ ก็เกิดเสียหลักจะล้ม โชคดีที่พินิจนัยรับไว้ทัน ศรารันอยู่ในอ้อมกอดของพินิจนัย ทั้งสองมองตากันอยู่นาน ก่อนจะรีบผละออก
จากกัน
“ นี่ก็มืดแล้ว ฉันเข้าบ้านก่อนดีกว่า” ศรารันพูดแก้เก้อ ส่วนพินิจนัยก็ทำหน้าบอกไม่ถูก ไม่กล้าสบตาศรารัน ศรารันจึงรีบเดินเข้าบ้านพักไป ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

ในใจเรา




ตอนที่ 19


“ ช่วยด้วยค่ะ ๆๆๆๆ!” ศรารันตระโกนขอความช่วยเหลือ พนาวิ่งตามมาติดๆ คว้าเอวไว้ได้
“ เธอหนี ไปไหนไม่รอดหรอก!” ศรารันพยายามดิ้น
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” ทั้งสองฉุดกระชากลากถูกันอย่างทุลักทุเล แต่แรงหญิงก็มิอาจสู้แรงชายได้ พนาช้อนอุ้มกายของศรารัน
“ไอ้บ้า! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ช่วยด้วย ๆๆ!” เธอตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง พนาอุ้มเธอมาถึงรถแล้วโยนลงเบาะรถตู้
“หุบปาก! ฤทธิ์เยอะนักนะ แม่คนสวย อย่างนี้สิ ผมชอบ!” พนาพูดพลางยิ้มอย่างมีชัย เขาเองก็สนใจศรารันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่เคยผ่านมาของเขา
ศรารันได้แต่พนามองอย่างแค้นเคือง แล้วหันมามองเกร็ดดาวอย่างโมโห พลางคิดในใจ ฉันไม่น่าโง่ หลงเชื่อยัยดาวเลย
เกร็ดดาวได้แต่หลบตา รถตู้มุ่งหน้าออกไป

ทางฝ่ายพินิจนัยกลับมาก็ดึกแล้ว ปกติเขาก็นอนที่รีสอร์ทอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้กลับบ้าน บ้านของเขาต้องนั่งเรือข้ามเกาะไปอีกเกาะหนึ่ง ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวที่สวยงามมาก ที่นั่นสงบ แม่ของเขาไม่ค่อยออกไปไหน มักใช้ชีวิตที่นั่น กับพวกสาวใช้อีกสองสามคน
แล้วไหนจะเรื่องฟาร์มม้าของพ่อ ที่ตอนนี้ ก็มีญาติคอยคนดูแลอยู่

เขาเดินผ่านบ้านพักของศรารัน เห็นปิดไฟมืด จึงคิดว่าหลับแล้ว จึงไม่ได้เอะใจอะไร เดินผ่านไปเมื่อถึงบ้านพักของเขา ก็หยุดมองต้นลีลาวดีสีขาวหรือ ลั่นทม เขาชอบดอกของมัน ที่รีสอร์ทและที่บ้านแม่ของเขา จะมีต้นนี้เยอะมาก เขาเก็บดอกที่ล่วงหล่นลงมา แล้วถือเข้าบ้าน เอามาวางไว้ที่หัวเตียง
มือถือของเขาดังขึ้น ใครโทรมาดึกป่านนี้วะ เขาคิด
เมื่อเห็นชื่อของผู้ที่โทรมาก็ยิ้ม
“ ว่าไง เพชร ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ เพชรนอนไม่ค่อยหลับ นัยนอนหรือยัง นี่โทรมากวนหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก นัยไปพบเพื่อนมา อยู่คุยกันจนเพลิน เลยดึก เพิ่งกลับมาถึงเอง”
“แล้ว เมื่อไหร่ นัยจะขึ้นมากรุงเทพเหรอ เพชรคิดว่าถ้านัยยังไม่ขึ้นมา เพชรจะลงไปหานัยที่ภูเก็ตแล้วนะ”เพลิงเพชรพูด
“ อีกไม่นาน นัยก็ต้องขึ้นไปทำธุระที่นั่นอยู่แล้ว และก็คงจะต้องอยู่นั่นสักพัก รับรองเราได้เจอกันแน่ๆ” พินิจนัยตอบ
เพลิงเพชรยิ้มอย่างดีใจ
“ก็ดีสิ ถ้านัยมาเมื่อไหร่ บอกเพชรด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”พินิจนัยตอบ
“งั้นแค่นี้นะ ขอให้นัยฝันดีละกัน”เพลิงเพชรพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“ครับ เช่นกัน” จากนั้นก็วางสาย

………………………………..
ทางด้านพนา เมื่อมาถึงที่บ้านก็สั่งลูกน้องให้พาสองสาวไปขังไว้ในห้อง ทั้งคู่ส่งเสียงดัง จนอิสระออกมา
“นี่ มันอะไรกัน เอะอะโวยเสียงดังกันอยู่ได้” อิสระมองไปที่สองสาว
“อ้าว แล้วนี่ผู้หญิงสองคนนี้เป็นใคร” อิสระถามพนา
“ผู้หญิงของไอ้นัย ครับพ่อ ผมจับมาเอง”
“จับมาทำไม เดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่หรอก” อิสระไม่เห็นด้วย
“ ก็ถ้าอยากกำจัดมัน ก็ต้องใช้วิธีนี้แหล่ะ ล่อให้มันมาหาเรา” พนาพูด
“ไม่ได้นะ พวกแกห้ามทำอะไรพี่นัยนะ” เกร็ดดาวพูดแทรก
“ หุบปาก!” พนาตะคอก “เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน “ เฮ้ย พาไปขังได้แล้ว” ประโยคหลังพนาสั่งลูกน้อง
“ พ่อครับ แล้วเรื่องส่งไม้อาทิตย์หน้า….” พนายังพูดไม่ทันจบ
“พ่อเปลี่ยนใจแล้ว เราจะส่งเร็วขึ้น เป็นคืนพรุ่งนี้”
“ทำไมล่ะครับ”
“ลูกค้า ต้องการด่วน เพราะกลัวตำรวจ” อิสระตอบ
ศรารันและเกร็ดดาวถูกจับมาไว้ในห้องเดียวกัน เมื่ออยู่กันตามลำพัง ศรารันก็เปิดฉากพูด “ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าเธอจะหลอกฉัน!”
“ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ มายุ่งเกี่ยวกับพี่นัยของฉัน มันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก!” เกร็ดดาวเถียง
“ ฉันกับคุณนัยไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เธอคิดไปเองต่างหาก ดูสิ ฉันเลยซวยแบบนี้ไงเล่า!” ศรารันพูดอย่างเหลืออด
ระหว่างที่สองสาวเถียงกัน ประตูก็ถูกเปิดออก
“ทะเลาะอะไรกัน น่ารำคาญจริงๆ!” พนาพูด
“ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าแกอยากได้นังศรา แกก็เอาไปสิ มาจับฉันไว้ทำไม”เกร็ดดาวพูด ศรารันมองหน้า “ ทำพูดแบบนี้ล่ะ”
“หยุด ฉันก็อยากได้ทั้งสองคนแหล่ะ ไม่ต้องเกี่ยงกันหรอกน่า” พนาพูด
ศรารันเบือนหน้าหนี อย่างขนลุก
“ไม่รู้ว่าไอ้นัยมันดีตรงไหน ถึงมีผู้หญิงชอบมันเยอะ” พนาพูด
เกร็ดดาวโมโหจึงด่าว่า
“ไอ้ชั่ว ฉันเกลียดแก ฉันไม่มีวันยอมเป็นของแกหรอก พี่นัยจะต้องมาช่วยฉัน เขาเป็นคนดี ไม่ได้ชั่วเหมือนแก เขาดีกว่าแกทุกอย่าง แกสู้เขาไม่ได้สักอย่าง!” พนาเริ่มเดือด
“ หุบปาก! เธอนี่มันปากดีนักใช่มั้ย งั้นฉันจะสั่งสอนเธอเป็นคนแรก เฮ้ย! พายัยนี่ไปห้องฉัน” ประโยคหลังพนาสั่งลูกน้อง เกร็ดดาวตกใจ ซึ่งก็ไม่ต่างกับศรารัน
“แกจะทำอะไรฉัน!” เกร็ดดาว เริ่มร้องไห้
“เดี๋ยวก็รู้” พนายิ้มอย่างน่ากลัว ศรารันไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง ลูกน้องพาเกร็ดดาวออกไปแล้ว
พนาหันมามองศรารัน “ ผมไม่เคยถูกใจใคร เท่าคุณมาก่อนเลย แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมจะยังไม่ทำอะไรคุณ อยู่ในนี้ไปก่อนนะที่รัก” พนาจับที่คางศรารัน แต่เธอสะบัด
“นาย จะทำอะไรคุณดาว” ศรารันถาม
“ คุณอยากรู้นักหรือไง”พนาพูดยิ้มๆพลางเอาหน้ามาใกล้หน้าของศรารัน จนศรารันต้องพยายามเบี่ยงหนี ไม่พูดอะไรอีก พนายิ้มกับอาการของศรารัน แล้วเดินออกจากห้องไป
ศรารันจึงแอบด่า “ ไอ้บ้า ไอ้เลว!”
ถึงแม้เธอจะโกรธเกร็ดดาวอยู่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่รู้ ยัยดาวนั่น จะเป็นไงบ้างนะ”



ตอนที่ 18
เมื่อมาถึงที่จอดรถ ศรารันก็เปิดฉากพูด
“ทำไมคุณถึงไปชกเขาแบบนั้น” พินิจนัยอารมณ์ยังหงุดหงิดอยู่
“ก็ดูมันพูดสิ ใครจะทนได้” ศรารันส่ายหน้า แต่ก็ยิ้มออกมา
“แต่ ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็หมั่นไส้นายนั่น เชอะ! กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้แถมมาจับแขนฉันอีก” ศรารันทำหน้าสะใจ พินิจนัยชำเลืองมอง พลางทำหน้าแปลกใจ
“ตกลง คุณอารมณ์ไหนกันแน่ครับ” ศรารันไม่ตอบพลางเดินขึ้นรถ พินิจนัยจึงเดินตาม แล้วขับรถกลับรีสอร์ท

ทางด้านพนาเมื่อกลับมาที่บ้าน ก็อารมณ์เสีย พาลด่าลูกน้อง จนคนเป็นพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ทัก
“ ไปอารมณ์เสียที่ไหนมาล่ะ แล้วหน้าไปทำอะไรมา”
“ก็ไอ้พินิจนัยน่ะสิพ่อ มันชกผม”
“ไอ้พินิจนัยอีกแล้วเหรอ รู้มั้ย ว่ามันไปบอกพวกชาวบ้านไม่ให้ขายที่ดินกับพ่อ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นก้างขวางคอเราไปถึงไหน คราวที่แล้วก็เรื่องซื้อที่ดินตัดหน้าเราไปทีหนึ่งแล้ว” อิสระพูดอย่างโมโห
“งั้นจะเก็บมันไว้ทำไมล่ะพ่อ” พนาพูดอย่างเดือดๆ
“อีกไม่นานหรอกลูก”
พนาเกลียดพินิจนัยมาตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นศัตรูกันมาหลายๆเรื่อง แล้วตอนนี้เขาก็นึกแผนออก ผู้หญิงคนนั้น! คงจะมีความหมายกับพินิจนัย

ที่ร้านอาหาร เกร็ดดาวถูกนัดให้มาพบ เธอนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“โทษทีนะครับ ที่ให้รอ”ผู้มาสายกล่าวขอโทษ
“มีอะไรก็พูดมา! ฉันไม่มีเวลามากหรอกนะ” เกร็ดดาวพูดอย่างหงุดหงิด
“แหม ใจเย็นสิครับ แล้วถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพินิจนัยของคุณล่ะ” พนาพูด
“เรื่องพี่นัย มีอะไร” เกร็ดดาวสงสัย
“ผม มีเรื่องอยากจะถามคุณ เกี่ยวกับผู้หญิงของพินิจนัย”
“ผู้หญิงอะไร ที่ไหน”
“ก็คนที่ชื่อศรารัน เธอใช่คนรักของพินิจนัยหรือเปล่า”
เกร็ดดาวรีบตอบ
“ไม่ใช่สักหน่อย! เอาอะไรมาพูด ยัยนั่นก็แค่แขกที่มาพักรีสอร์ทของพี่นัยต่างหาก”
พนามองหน้า
“หรือครับ ก็ผมเห็นวันนั้นทั้งคู่ไปซื้อของด้วยกัน พอผมไปทัก พินิจนัยก็ทำท่าทางหวงคุณศรารันมาก”
พนาพูดพลางสังเกตสีหน้าของเกร็ดดาว
“ไม่จริง!”
“แล้วแต่คุณจะคิดละกัน แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกผมได้ โดยเฉพาะเรื่องคุณศรารัน” พนาพูดอย่างมีเลศนัย เกร็ดดาวเข้าใจในความหมาย เธอรู้ว่าพนากับพินิจนัยไม่ถูกกัน แต่ในเมื่อเป้าหมายมีผลประโยชน์ร่วมกันก็น่าจะร่วมมือกัน
“หมายความว่าคุณสนใจแม่นั่น” เกร็ดดาวพูดอย่างรู้ทัน
“ใช่”
“ดี งั้นเรามาร่วมมือกัน” เกร็ดดาวพูด พนามองหน้าพลางเหยียดยิ้ม
……………………………..
เกร็ดดาวมาที่รีสอร์ทริมเล เธอเริ่มมาตีสนิทกับศรารัน
“คุณศราคะ ดาวขอโทษนะคะที่ตอนแรกๆ พูดจาไม่ค่อยดีกับคุณ อาจเป็นเพราะดาวคิดมากเรื่องพี่นัยกับคุณ” เกร็ดดาวเสแส้รง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่างมันเถอะ” ศรารันแปลกใจที่อยู่ดีๆ เกร็ดดาวก็มาทำดีด้วย
“ งั้นต่อไปนี้ ดาวขอเรียกคุณศรา ว่าพี่ศราได้มั้ยคะ จะได้ดูเป็นกันเอง”
“ ก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณดาวเถอะ”
“เรียกดาวเฉยๆดีกว่าค่ะ”
“ค่ะ” ศรารันตอบ ไม่อยากคิดอะไรมาก


ทางด้านพินิจนัยทราบจากคุณสุชาติว่าเกร็ดดาวมาหาศรารันก็แปลกใจ ก็เดินไปหาศรารัน
“น้องดาวมาหาคุณหรือครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก เธอแค่มาขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีกับฉัน”
พินิจนัยโล่งใจ “ นึกว่ามีเรื่องอะไรซะอีก” ศรารันมองหน้า
“ แล้วนี่คุณเดินมาเพื่อมาถามเรื่องแค่นี้ เนี่ยนะ”
พินิจนัยหลบตา “ อ๋อ.. เปล่า … คือ ผมเดินมาแถวนี้พอดี แล้วคุณสุชาติบอกผม ผมสงสัย….ก็เลยเดินมา คือว่า…” พินิจนัยพูดจา งงๆ ติดขัด จนศรารันรำคาญขัดขึ้น
“พอทีเถอะคุณ เอาเป็นว่าฉันไม่อยากรู้อะไรแล้ว โอเคมั้ย” ศรารันแอบขำกับท่าทางของพินิจนัย

………………………..
วันนี้ตอนบ่ายเกร็ดดาวมาชวนศรารันออกไปข้างนอก บอกว่าอยากให้ช่วยไปเลือกของขวัญให้เพื่อนหน่อย เธอจึงไป ทางฝ่ายพินิจนัย เขาก็มีนัดกับเพื่อนที่เป็นตำรวจชื่อ ผู้กองวิทย์ ไปคุยเรื่องของนายอิสระ
“แล้วตอนนี้ นายดำเนินการไปถึงไหนแล้ว” พินิจนัยถาม
“ ทางเรามีสาย อยู่ในนั้น เห็นว่าอาทิตย์หน้า จะมีการลอบส่งไม้เถื่อน” ผู้กองวิทย์บอก
“ ฉันอยากจะเห็นมันโดนจับไวๆ ไอ้พวกสารเลว อยู่ไปก็รกโลก” พินิจนัยพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ฉันก็เหมือนกัน หมั่นไส้ไอ้สองพ่อลูก กร่างไปทั่ว …….. ว่าแต่ แกเถอะ เป็นไง เห็นว่าธุรกิจนับวันยิ่งไปได้สวย มีสาวข้างใจได้แล้วมั้ง” ประโยคหลังผู้กองวิทย์แซว
“ ธุรกิจก็โอเคอยู่ ส่วนสาวๆก็ดูไปเรื่อยๆ” พินิจนัยตอบยิ้มๆ
“แล้ว น้องดาวล่ะ เธอก็น่ารักดี ทำไมแกไม่ชอบวะ”
“น้องดาว ฉันคิดได้แค่น้องสาวว่ะ เป็นมากกว่านั้นไม่ได้” พินิจนัยพูดจากใจจริง
“เออ อย่างว่าแหล่ะ เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้นี่หว่า เออ เห็นว่า อีกไม่นานแกก็ต้องขึ้นกรุงเทพนี่หว่า ไปทำอะไรวะ”
“ อ๋อ ไปงานแต่งลูกชายเพื่อนพ่อ แล้วก็อยู่ทำธุระเรื่องบริษัททัวร์ที่จะมาลง คงจะอยู่ที่นั่นสักพัก ฉันซื้อคอนโดทิ้งไว้ที่นั่น” ทั้งคู่สนทนากันตามประสาเพื่อนกันต่อไป
………………………………
ทางด้านศรารัน หลังจากเลือกซื้อของเสร็จ เกร็ดดาวก็ชวนทานมื้อค่ำต่อ จนดึก แล้วทั้งคู่ก็นั่งรถกลับ บนถนนเส้นนี้ไม่มีรถวิ่งผ่านเลย ระหว่างที่ขับรถไป มีคนนอนอยู่กลางถนน
“เอ๊ะ พี่ศราคะ นั่นใครมานอนตรงนั้นคะ” เกร็ดดาวพูด
“ไม่รู้สิ ทำยังไงดีล่ะ”
“เราลงไปดู ดีมั้ยคะ เผื่อว่าเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ จะได้ช่วยเหลือได้” เกร็ดดาวเข้าแผน
ศรารันลังเล แต่ก็ตัดสินใจ “ งั้นเราลองลงไปดูเถอะ”
ทั้งสองสาวลงไป พอพลิกตัวชายคนนั้นหันมายิ้ม จากนั้นก็มีผู้ชายอีกสองคนโผล่มา
ศรารันเห็นก็จำได้ ว่าเป็นคนที่เคยเจอและพินิจนัยก็เคยต่อยเขา
“นาย!” ศรารันตกใจ
“จำผมได้ด้วยหรือครับ” พนาพูดยิ้มอย่างน่ากลัว
“ เฮ้ย จับผู้หญิงสองคนนี้ขึ้นรถ” พนาสั่ง เกร็ดดาวมองหน้า
“หมายความว่าไง แก จะจับฉันทำไม ไหนว่าต้องการนังศรารันคนเดียวไง ” ศรารันตกใจ ไม่คิดว่าเกร็ดดาวจะมีส่วนรู้เห็น
“ช่วยไม่ได้ เธอมันโง่เอง รักมันมากใช่มั้ย ไอ้นัยน่ะ! ฉันจะฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง” พนาพูดอย่างเหี้ยมโหด
“แกนี่ มันเลวจริงๆ” เกร็ดดาวด่าว่าพนา
“เธอก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น เธอเองก็มีส่วน” พนา ว่ากลับ
“เฮ้ย! พาขึ้นรถได้แล้ว” ไอ้ลูกน้องสองคนพยายามฉุดกระชาก แต่สองสาวดิ้นสุดฤทธิ์ ศรารันกระทืบเท้าชายคนที่จับเธอแล้วใช้ศอกกระทุ้งที่ท้องของมัน เธอหลุดจากการถูกจับ แล้ววิ่งหนีสุดฤทธิ์ พนารีบวิ่งตาม “ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”


ตอนที่ 17

หลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จ พินิจนัยอาสาเดินมาส่งศรารัน แม้ว่าเธอจะปฏิเสธ
“นี่คุณ ไม่ต้องเดินมาส่งฉันก็ได้ ฉันเดินมาเองได้ ไม่หลงหรอกน่า” ทั้งคู่พูดคุยระหว่างทาง
“ผมรู้ ว่าคุณไม่หลงหรอก แต่ผมอยากเดินมาเป็นเพื่อน ” พินิจนัยตอบ
“แล้วนึกยังไง อยากจะเดินมาเป็นเพื่อน” ศรารันถาม
“ก็ไม่มีอะไร ผมเป็นเจ้าของที่นี่ ก็ต้องเอาใจใส่แขกทุกคนอยู่แล้ว” ศรารันมองหน้าพินิจนัยอย่างฉงน
“อย่าบอกนะ ว่าคุณ มักจะเดินมาส่งแขกแบบนี้ทุกราย เอ๊ะ หรือว่าเฉพาะแขกผู้หญิง”
พินิจนัยรีบพูด
“เปล่าสักหน่อยคุณ พูดแบบนี้ผมเสียหายนะ” ศรารันมองค้อนอย่างหมั่นไส้
“เป็นผู้ชาย มันจะเสียหายตรงไหนฮะ! พูดยังกับว่าตัวเองเป็นผู้หญิง”
“คุณรู้ได้ไงเนี่ย ว่าผมไม่ใช่ผู้ชาย อุตส่าห์แอ๊บสุดๆแล้วนะเนี่ย” พินิจนัยแกล้งพูด จนศรารันแอบหัวเราะ พินิจนัยมองหน้าศรารัน เวลาเธอยิ้มหรือหัวเราะ ทำไมเขาจึงมีความสุขไปด้วย
เมื่อเดินมาถึงห้องพัก ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้าน คล้ายๆกัน ของรีสอร์ทริมเล
ศรารันก็เอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะ ที่เดินมาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” พินิจนัยพูดพลางยิ้ม ศรารัน เดินหันหลังเข้าบ้าน พินิจนัยพูดตามหลัง
“กู๊ดไนท์ นะครับ” ศรารันกลับหันมามอง “ เช่นกันค่ะ”
หลังจากไปส่งศรารันเสร็จพินิจนัยเดินกลับมา พลางยิ้มอยู่คนเดียวตลอดทาง เจอกับสุชาติพอดี
จนสุชาติเอ่ยทัก
“คุณนัย อารมณ์ดีเรื่องอะไรหรือครับ เห็นเดินยิ้มมาแต่ไกล” พินิจนัยรีบทำหน้าปกติ
“ อ๋อ…. คือ คืนนี้พระจันทร์สวยดี …ก็เลย อารมณ์ดี ” พินิจนัยพูดเฉไฉ แล้วขอตัวไป
สุชาติมองตาม แล้วแหงนดูท้องฟ้า พลางพูดคนเดียว “มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย คืนนี้ไม่มีพระจันทร์สักหน่อย คุณนัยนี่ก็แปลก”
………………………………….
เช้านี้ เกร็ดดาว มาหาพินิจนัยแต่เช้า อยากจะให้เขาพาไปนั่งเรือเล่น แต่พินิจนัยยังไม่ว่าง เนื่องจากมีลูกทัวร์ มาลง เกร็ดดาวจึงเดินไปที่สปา เพื่อฆ่าเวลารอเขา เธอพบกับศรารันพอดี
“สวัสดีค่ะ คุณดาว” ศรารันทักอย่างเป็นมิตร เกร็ดดาวมองหน้าอย่างหยิ่งๆ
“นึกว่าใคร คุณศรารันนั่นเอง ยังอยู่อีกหรือคะ”
ศรารันหน้าเปลี่ยน “ ค่ะ ฉันติดใจที่นี่ เลยอยากอยู่นานๆ” ศรารันพูดนิ่งๆ จนเกร็ดดาวหมั่นไส้
“ติดใจอะไรหรือคะ”
ศรารันรู้ทันเกร็ดดาว ว่าเธอกำลังหวงพินิจนัย เหมือนอย่างที่เธอเคยหวงผู้ชายคนหนึ่ง แต่ต่างกันตรงที่ตอนนั้นเธอกับรติยังเป็นแฟนกันอยู่ ย่อมมีสิทธ์ที่จะหวงหรือหึง แต่กับเกร็ดดาวและพินิจนัยทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรกัน
“ทุกอย่างค่ะ” ศรารันตอบ เกร็ดดาวมีสีหน้าไม่พอใจ
“ ทุกอย่างที่ว่านี่ คงไม่ได้รวมถึงเจ้าของรีสอร์ทนะคะ” ศรารันเพียงยิ้ม แล้วขอตัวก่อน เกร็ดดาวมองตามอย่างเกลียดชัง


ที่ห้องทำงานของพินิจนัย สุชาติเคาะเดินเข้ามา
“มีอะไรหรือคุณสุชาติ” พินิจนัยยังก้มหน้าก้มตาดูเอกสารอยู่
“คือ ทางเรามีข่าวมา เกี่ยวกับนายอิสระ” สุชาติพูดถึงนายอิสระ ผู้มีอิทธิพล ของท้องถิ่น
“มีอะไร” พินิจนัยหยุดมองเอกสารตรงหน้า
“มีข่าวว่าตอนนี้มันกำลังจะ กวาดซื้อที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่ติดๆกัน เห็นว่าจะสร้างบ่อนขนาดใหญ่ มันบอกว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ให้มาเที่ยวที่นี่ ชาวบ้านจะได้มีรายได้ไปด้วย” พินิจนัยหน้าเครียด
“ไอ้พวกนี้มันบ้า ไอ้เรื่องผิดๆ ขอให้บอกมันเถอะ ทำได้ทุกอย่าง แล้วพวกชาวบ้านขายไปเยอะหรือยัง”
“ก็ยังไม่ค่อยมีหรอกครับ ชาวบ้านไม่ค่อยเห็นด้วย”
“งั้น เห็นที เราต้องไปบอกพวกชาวบ้านว่าอย่ายอมขายที่ดินให้พวกมัน ผมฝากเรื่องนี้ด้วยนะ คุณสุชาติ”
“ครับ แต่มีอีกเรื่องครับ ตอนนี้ พนา ลูกชายนายอิสระ กลับมาจากนอกแล้วครับ คงจะมาช่วยงานผิดกฎหมายของพ่อมันอีกหลายๆอย่าง”
พินิจนัยนึกถึงพนา ศัตรูที่ไม่ถูกกับเขาตั้งแต่เด็กจนโต ตอนอยู่ประถมและมัธยม ก็ไม่ถูกกัน แบ่งเพื่อนเป็นสองฝ่าย ชกต่อยเป็นประจำ พออยู่มหาวิยาลัย เขาสอบติดที่กรุงเทพ ส่วนพนาก็ไปเรียนเมืองนอก แต่ได้ข่าวว่าทำตัวเละเทะ กว่าจะจบได้

ที่ห้องทำงาน
ทางฝ่ายรติ ตั้งแต่เกิดเรื่อง แม้ว่าเขาจะยินดี ที่ได้คบกับเพลิงเพชร แต่ลึกๆในใจก็ยังอดห่วงศรารันไม่ได้ เขาเองก็เสียใจที่ทำร้ายจิตใจของศรารัน แต่เขาเองก็ไม่รู้จะไปขอโทษเธอที่ไหน เพราะไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่ฝ่ายนั้น เพลิงเพชรเดินเข้ามา
“คิดอะไรอยู่หรือคะ” รติหลุดจากภวังค์
“อ๋อ คือ คิดเรื่องงานอยู่ครับ”
เพลิงเพชรมองหน้า
“คงไม่ได้คิดถึงใครอยู่หรอกนะคะ”
“เปล่านี่ครับ”รติปฏิเสธ เพลิงเพชรแอบยิ้มที่มุมปาก พลางคิด คงจะนึกถึงแม่นั่นล่ะสิ! ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะโผล่มาสักที



วันนี้พินิจนัยมาทำธุระที่ตัวเมือง ถามศรารันว่าต้องการอะไรมั้ย แต่เธอขอตามมาด้วยอยากจะไปเลือกของเอง พอมาถึง พินินัยแยกไปทำธุระ ส่วนศรารันเดินไปซื้อของ ระหว่างที่กำลังเลือกของ ดูเสื้อผ้า การกระทำของเธอ กำลังอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง ที่เห็นเธอตั้งแต่ลงรถมา แล้วเกิดต้องใจ
เธอหยิบดูของประดับเล็กน้อย อย่างเพลินๆ ก็มีเสียงหนึ่งมาทัก
“ชอบหรือครับ” เธอสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมอง เป็นชายหนุ่มดูดี
“ ค่ะ สวยดี” ศรารันตอบเป็นมารยาท
“งั้นผมซื้อให้”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันซื้อเองได้” ศรารันไม่เข้าใจ ว่าอยู่ดีๆผู้ชายคนนี้จะมาซื้อของให้ทำไม ผู้ชายคนนั้น มองพลางยิ้ม “นี่คุณ ผู้หญิงที่ไหนเขาก็ชอบให้ผู้ชายซื้อของให้ทั้งนั้นแหล่ะ อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย” ศรารันหน้าเปลี่ยน กลายเป็นไม่พอใจ
“เอ๊ะคุณ! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้นนะ อย่ามาดูถูกฉันอีก” ศรารันทำท่าจะเดินหนี แต่ผู้ชายคนนั้นจับแขนไว้ “ จะเล่นตัวไปไหน รู้มั้ยว่าผมลูกใคร”
“นี่ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” ศรารันพยายามสะบัดแขนออกแต่ไม่หลุด อีกฝ่ายยังจับไว้แน่น
พินิจนัยเข้ามาเห็นพอดี จึงรีบวิ่งมา
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!” ผู้ชายคนนั้นหันมามอง
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ แกนั่นเอง ไอ้นัย” ศรารันแปลกใจคนทั้งคู่รู้จักกัน
“แก นั่นเอง ไอ้พนา!” พินิจนัยมองนิ่งๆ “ปล่อยคุณศรารันเดี๋ยวนี้!” พนาจึงปล่อยมองทั้งคู่
“แฟนแกหรือวะ สวยดีนี่ ถ้าเบื่อเมื่อไหร่ ก็บอกฉันได้นะ” พนาพูดพลางมองมาที่ศรารัน
พินิจนัยโมโห กำหมัด ซัดเปรี้ยง! ไปที่ใบหน้าของพนา
ศรารันตกใจ รีบห้ามก่อนที่พินิจนัยจะใส่หมัดครั้งที่สอง แล้วรีบลากพินิจนัยออกไป
“ถ้าแกพูดแบบนี้อีก แกโดนอีกแน่!” พินิจนัยตะโกนพูด พนามองตามอย่างเดือดๆ เอามือจับแก้มตัวเอง “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!”
………………………….

ในใจเรา



ตอนที่ 16


ศรารันกลับมาที่ห้องพัก เธอเห็นนิ่มจึงเรียกมาคุย
“นิ่ม ฉันต้องการให้เธอกลับบ้านพรุ่งนี้ ไม่ต้องอยู่ดูแลฉัน ฉันต้องการอยู่ที่นี่ลำพัง”
นิ่มไม่เห็นด้วย
“แต่ คุณผู้หญิง ต้องการให้นิ่มอยู่กับคุณศรานะคะ”
“ไม่ต้องแล้ว ฝากบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วย ว่าไม่ต้องมาหาฉันหรอก ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ฉันจะกลับไปเอง แต่ถ้าพวกท่านไม่ยอม ฉันก็จะหนีไปอยู่ที่อื่น โดยไม่บอกพวกท่าน”
ตอนแรกนิ่มมีทีท่าว่าไม่ยอม แต่ก็ไม่กล้าขัดศรารัน

เช้าวันรุ่งขึ้นนิ่มได้เดินทางกลับไปกรุงเทพฯ แล้ว โยธินกับคุณหญิงทราบเรื่อง ก็ได้แต่เป็นห่วง และไม่อยากขัดใจลูก เพราะคิดว่าศรารันคงต้องการเวลาพักใจ

ทางด้านเพลิงเพชร ก็กำลังพูดอยู่กับชิดจันทร์
“ไม่รู้ว่า นังศราเงียบหายไปไหน ไม่เห็นโผล่ออกมาเลย เพลิงเพชรบ่น
“สงสัยไปหาที่พักใจมั้ง แต่ฉันว่าคงทำใจยาก ก็แกกับคุณรติ สวีทออกงานบ่อย หนังสือพิมพ์หน้าสังคมก็ลงข่าวตลอด ป่านนี้ไม่ช็อคไปแล้วหรือ” ชิดจันทร์พูด
“ก็นี่แหล่ะ ที่ฉันต้องการให้นังศรา มันเห็นว่าคุณรติ รักฉันมากแค่ไหน มันจะต้องเจ็บปวดไปอีกนาน” เพลิงเพชรพูดอย่างชิงชัง
“รอให้ฉันหายแค้น เมื่อไหร่ ฉันก็จะบอกเลิกคุณรติ”
ชิดจันทร์มองหน้า “แก จะเลิก กับเขาจริงๆเหรอ ฉันว่าน่าเสียดายนะ ทั้งหล่อ ทั้งรวย”
“ก็ฉันไม่ได้รักเขา” เพลิงเพชรพูดสีหน้านิ่งๆ
“แต่แกรัก พินิจนัย”ชิดจันทร์พูดขึ้นแทงใจเพลิงเพชร จนเธอหน้าเปลี่ยน
“ใช่! ฉันรักนัยคนเดียว ชีวิตนี้ฉันคงไม่สามารถรักใครได้อีก” ชิดจันทร์รู้มาตลอดว่าเพลิงเพชรแอบรักพินิจนัยตั้งแต่สมันเรียนแล้ว
“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ฉันจะไปหาเขา” เพลิงเพชรพูดตามความรู้สึก
………………………
ทุกๆวัน ศรารันจะเดินไปที่สปา เพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจตลอด พอเวลาว่างเธอก็มักจะออกไปเดินเล่นบริเวณรีสอร์ท หรือไม่ก็ชายทะเล เธอเริ่มคุ้นเคยกับพนักงานที่นี่ เริ่มพูดคุยเป็นกันเอง
บางครั้งพินิจนัยก็ชวนเธอไปเที่ยวหมู่บ้านประมง
“คุณนึกยังไง พาฉันมาที่นี่เนี่ย” ศรารันเอ่ยถามขณะที่ทั้งคู่เดินอยู่แถวท่าเรือ
“ก็ผมเห็นคุณว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยพามาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
“ที่เนี่ยนะ”ศรารันทำหน้าแปลกๆ
“ครับ เป็นไง ได้บรรยากาศทะเลเต็มๆ” พินิจนัยพูดยิ้มๆ ศรารันได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็เดินดูอย่างสนใจ


เมื่อทั้งคู่กลับมาที่รีสอร์ท คุณสุชาติก็วิ่งมาหาพินิจนัย
“คุณนัยครับ คุณดาว มารอพบอยู่ครับ”
“น้องดาวเหรอ งั้นเดี๋ยวผมไป” พินิจนัยยังพูดไม่ทันจบ ดาวหรือ เกร็ดดาว ก็วิ่งมาคล้องแขนพินิจนัย
“พี่นัยขา ไปไหนมาคะ ดาวมารอตั้งนานค่ะ” เกร็ดดาวพูดพลางเหลืบมองมาที่ศรารันอย่างไม่เป็นมิตร
“พี่ไปหมู่บ้านประมงมาครับ น้องดาวมีธุระอะไรหรือเปล่าถึงมาที่นี่”
“แหม ทำไมพี่นัย ถามแบบนี้คะ ทำยังกับว่าเราเป็นคนอื่น คนไกล” เกร็ดดาวพูดพลางมองมาที่ศรารัน เหมือนต้องการให้เธอฟังเอาไว้
“แล้วนี่ ใครคะ” เกร็ดดาวถามอย่างสงสัย
“อ๋อ นี่คุณศรารัน แขกของที่นี่” พินิจนัยแนะนำ
“ส่วน นี่เกร็ดดาว ลูกสาวของเพื่อนพ่อผม”
“ยินดี ที่ได้รู้จักค่ะ” ศรารันพูดอย่างเป็นมิตร แต่เกร็ดดาวมองอย่างหยิ่งๆ ศรารันจึงถอนใจ ไม่อยากสนใจ “ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ศรารันขี้เกียจอยู่ตรงนั้น จึงเดินไป เกร็ดดาวมองตามอย่างไม่ค่อยชอบหน้า
“ เขาจะมาอยู่ที่นี่นานมั้ยคะ”
“ก็อาจจะนานหรือไม่นาน ก็แล้วแต่เขา” พินิจนัยพูด ใจจริงเขาอยากจะให้ศรารันอยู่นานๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาคิดแบบนั้น



ทางด้านศรารันเดินกลับมาที่ห้องพัก พลางพูดคนเดียว
“ไหนบอกว่าไม่มีแฟน แหว่ะ น่าหมั่นไส้ นายนี่มันกะล่อนจริงๆเลย นายพินิจนัย”

ตอนค่ำ ศรารันออกมาที่ห้องอาหารของรีสอร์ท นั่งทานอาหารอยู่คนเดียว
“ ทานคนเดียวอร่อยมั้ยคุณ” พินิจนัยทัก
“ ตอนแรกก็อร่อยดี แต่มาไม่อร่อยตอนที่คุณทักนี่เหล่ะ” ศรารันตอบกลับ
“โห คุณ อะไรมันจะขนาดนั้น” พินิจนัยแกล้งโวย ศรารันมองหน้าอย่างหมั่นไส้
“ แล้วนี่แฟนคุณกลับไปแล้วเหรอ เดี๋ยวเขาเห็นคุณมาพูดคุยกับฉัน ก็ไม่พอใจหรอก”
“แฟน” พินิจนัยทำท่าคิด แล้วก็นึกออก
“อ๋อ น้องดาว เขาไม่ใช่แฟนผมสักหน่อย ผมคิดกับน้องดาว แค่น้องสาวเท่านั้น ไม่มีอะไรแอบแฝง”
“แต่ดูท่าทาง เธอไม่ได้คิดกับคุณแค่พี่ชายมั้ง” ศรารันพูดปกติ ไม่ได้คิดอะไร
“ ไม่รู้สิ คงงั้นมั้ง ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเสน่ห์ของผม มันเป็นเรื่องที่ห้ามกันยาก” พินิจนัยแกล้งพูด ส่วนศรารันก็ทำหน้าเอือมระอา
พินิจนัยแกล้งพูดต่อ
“เอ๊ะ หรือว่าคุณหึง”
ศรารันทำหน้านิ่ง
“ติงต๊องเกินไปและ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณสักหน่อย” พินิจนัยยิ้มๆ
“ก็จะไปรู้เหรอครับ เห็นคุณสนใจ”
“บ้า!” ศรารันว่า พินิจนัยหัวเราะ ความจริงเขาอยากจะให้ศรารันไม่เครียด เขาจึงชอบแกล้งแหย่ เพื่อให้เธอไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน
……………………………………

ในใจเรา




ตอนที่ 15


ศรารันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากได้ใช้บริการที่สปา แต่ก็แค่ร่างกายเท่านั้น ส่วนเรื่องหัวใจ เธอคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธออ่านหนังสือพิมพ์หน้าสังคม เจอข่าวรติกับเพลิงเพชรที่สวีตจนออกหน้าออกตา ศรารันปาหนังสือพิมพ์ทิ้ง นิ่มต้องมาเก็บ นิ่มจะคอยรายงานข่าวอาการของศรารัน ให้โยธินกับคุณหญิงดรุณีฟังตลอด
“ตอนนี้ คุณศรา เธอก็เริ่มพูดคุยปกติค่ะ แต่ก็จะมีบางครั้งที่ชอบเงียบ เหม่อลอยบางครั้งค่ะ”นิ่มรายงานทางโทรศัพท์
“ยังไงก็ดูแลหน่อยละกัน แล้วนี่คุณศราทำอะไรอยู่” คุณหญิงถาม
“ออกไปเดินเล่นค่ะ”
“ยังไงก็คอยดูแลคุณศราด้วย”
“ค่ะ” นิ่มวางสาย

ศรารันออกไปเดินเล่นที่ทะเล เห็นคู่รักสวีตกันหวาน จนศรารันต้องเบือนหน้าหนี
“ถึงขนาดทนดูไม่ได้เลยหรือคุณ” พินิจนัยพูดหยอก
“มันเรื่องของฉัน” ศรารันยังเดินต่อ
“ความจริง คุณก็เป็นผู้หญิงหน้าตาพอใช้ได้ ทำไมไม่ลองหาใครสักคนมาดามใจล่ะ” พินิจนัยแกล้งพูด ความจริงศรารันไม่ใช่แค่หน้าตาใช้ได้ แต่เธอสวยมากๆต่างหาก
“นี่คุณ หยุดพูดสักทีได้ไหม ฉันอยากอยู่คนเดียว” ศรารันเริ่มรำคาญ
“ผมจะบอกอะไรให้ เวลาที่คนเราอยู่คนเดียว ก็มักจะคิดฟุ้งซ่าน ทำให้จิตใจเราแย่ไปเอง คนที่ทำร้ายเราจริงๆไม่ใช่ใครหรอก ก็ใจเราเองเนี่ยแหล่ะ” พินิจนัยพูด ศรารันหันมามองหน้า
“คุณเป็นนักจิตวิทยาหรือไง ถึงได้มาสอนฉันเนี่ย”
“ก็ผม มีสปาที่บำบัดจิตใจคน เพราะฉะนั้น เจ้าของก็ต้องมีคำพูดปลอบใจคนบ้างสิครับ”
พินิจนัยพูดยิ้มๆ
“ ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยสิ คุณพินิจนัย” ศรารันหยุดเดิน
“อะไรหรือครับ”
“คุณ มีแฟนหรือยัง” ประโยคนี้ทำเอาพินิจนัยยิ้มแล้วแกล้งแซวศรารัน
“ นั่นไง! ผมว่าแล้ว คุณอยากจะให้ผมมาดามใจคุณใช่มั้ยล่ะ แต่เสียใจด้วยผมไม่ชอบเป็นตัวสำรองของใครนะคุณ” พินิจนัยแกล้งทำเป็นเสียงจริงจัง จนศรารันส่ายหน้า
“ บ้าหรือเปล่าเนี่ย ใครจะให้คุณมาดามใจ ต่อให้ผู้ชายเหลือคุณคนเดียวฉันก็ไม่แลหรอกย่ะ”ศรารันพูดประชด
“อ้าวจะไปรู้เหรอเห็นคุณ ถามแบบนี้ จะให้คิดยังไงล่ะ”
“ ฉันแค่อยากรู้”
“ถึงผมจะหน้าตาดี แต่ก็ยังไม่มีแฟนครับ คุณสบายใจได้” พินิจนัยพูดยิ้มพลางยักคิ้วหรี่ตาให้ ศรารันได้แต่ทำหน้าเอือมระอา แต่ก็แอบยิ้มออกมา
“แล้วเคยมีแฟนมาก่อนมั้ย”
“เคยตอนอนุบาลสอง” ศรารันมองหน้าผู้พูด
“แต่เราก็เลิกกัน เพราะยังเด็กเกินไป” พินิจนัยพูดหน้าซีเรียส ศรารันแอบหัวเราะ
“ขำอะไรคุณ” พินิจนัยถาม
“เปล่า แล้วทำไมตอนนี้ยังไม่มีล่ะ” ศรารันถามต่อ
“ก็ยังไม่เจอใครถูกใจมั้ง” พินิจนัยพูด
“ถ้าคุณมีแฟน แล้วถูกคนอื่นแย่งไป คุณจะทำยังไง”
“ ผมต้องแน่ใจก่อนว่าเขายังรักผมอยู่หรือเปล่า ถ้าเขารักผมอยู่ ผมก็คงทำทุกวิถีทางให้เธออยู่กับผม แต่ถ้าเธอไม่ได้รักผมแล้ว ผมก็คงปล่อยเธอไป” ศรารันเงียบ พินิจนัยพูดต่อ
“ แล้วคุณล่ะ คิดว่าคนที่ทิ้งคุณไป มีค่าพอที่จะให้คุณเสียใจหรือเปล่า” ศรารันอึ้ง มันก็จริงอย่างที่เขาพูด จะมัวไปเสียใจให้กับคนที่ไม่เห็นค่าเราทำไมกัน เขาไม่ได้มารับรู้อะไรด้วยสักหน่อย ทั้งสองเดินเล่นพูดคุยกันไป

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดวงไฟในสายฝน 2

ทันทีที่ มุฑิตาผลักบานประตูกระจกใสเข้ามาใน ‘ร้านไออุ่น’ ชายวัยกลางคนในชุดสูทแบบนักธุรกิจผู้นั่งในร้านอยู่ก่อนก็ตรงเข้าทักทายพร้อมทั้งอุ้มเด็กหญิงวัยหกขวบหน้าตาบ้องแบ๊วที่มุฑิตาจูงมาด้วย ไปหอมแก้มซ้ายขวาอย่างแสนรัก “คุณครูมาตรงเวลาดีจังครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลน้องดาวให้”สาเหตุที่ทำให้มุฑิตาต้องมาย่านนี้ก็เพราะเธอต้องพาเด็กหญิงดวงดาวมาประกวดสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆ หลังจากกล่าวทักทายตามมารยาทและคิดว่าจะขอตัวกลับเสียที ผู้ปกครองเด็กหญิงดวงดาวก็เอ่ยปากด้วยท่าทีขัดเขิน “คุณครูทานอะไรหน่อยนะครับ ผมเป็นเจ้าภาพเอง แหะๆ คือ….ความจริงผมมีเรื่องอยากรบกวน….”แล้วหน้าที่ของครูที่ควรจะสิ้นสุดเมื่อได้ส่งตัวเด็กให้ผู้ปกครองอย่างปลอดภัยก็ทำท่าจะมีโอเวอร์ไทม์ เมื่อผู้ปกครองชี้แจงว่ากำลังคุยติดพันกับลูกค้าอยู่ในร้าน ไม่สามารถปลีกตัวกลับตอนนี้ได้ ขอร้องให้คุณครูช่วยอยู่ดูแลลูกสาวไปพลางๆ แม้งานเกินเวลานี้จะไม่มีค่าตอบแทนเช่นพนักงานบริษัททั่วไปแต่มุฑิตาก็ไม่ปฏิเสธเนื่องด้วยว่าภายในร้านมีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะแม้จะพอมีเก้าอี้ว่างแต่ก็ต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นอยู่ดี หลังจากกวาดตามองรอบร้านคร่าวๆครูสาวจึงตัดสินใจพาลูกศิษย์มานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุดเพราะเห็นมีผู้ชายท่าทางเหมือนจะไม่สนใจอะไรในโลกนั่งอยู่เพียงคนเดียวบริกรหน้าตี๋ยิ้มแย้มเข้ามารับรายการอาหาร ลูกศิษย์ตัวน้อยสั่งโกโก้เย็นส่วนหญิงสาวสั่งนมเย็นธรรมดากับคุ๊กกี้เมล็ดดอกทานตะวัน คิดในใจว่าไม่กล้าสั่งเยอะกลัวเจ้าภาพจะไปค่อนแคะภายหลังว่าเธอเห็นแก่กิน“ครูมุขา ดอกทานตะวันเป็นยังไงคะ? แล้วทุ่งทานตะวันล่ะคะ” หลังจากที่บริกรยกคุ๊กกี้เมล็ดทานตะวันมาเสริฟ หนูน้อยก็เริ่มยิงคำถาม“ทานตะวันเป็นดอกไม้กลมๆใหญ่ๆค่ะเมล็ดนำมาทานได้ในคุ๊กกี้นี่ก็มี เมล็ดจะอยู่รวมกันตรงกลางเป็นวงกลมแล้วก็ล้อมรอบด้วยกลีบดอกที่เรียวยาว ปลูกมากแถวจังหวัดสระบุรี ลพบุรี บานประมาณช่วงปลายพฤศจิกายนถึงต้นกุมภาพันธ์ ทุ่งดอกทางตะวันกว้างมาก กว้างกว่าน้องดาวกางแขนสองมือเป็นร้อยเท่าเลย” ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามแม้จะนั่งเงียบหากยังได้ยินเสียงแจ๋วๆของเด็กหญิงวัยหกขวบกับเสียงเย็นๆของครูสาว แล้วก็อดสงสารไม่ได้ โธ่!แม่หนูน้อยคงอยู่แต่ในกรุงเทพไม่ได้ออกต่างจังหวัด“กลมๆเหมือนลูกฟุตบอลเหรอคะ?” หนูน้อยยังคงยิงคำถามต่อ“ไม่เหมือนจ๊ะ ดอกทานตะวันไม่ได้กลมกลิ้งได้แบบนั้น แต่กลมๆแบนๆต่างหาก เหมือนหมอนแบนๆไงคะ” มุฑิตา พยายามอธิบายโดยหยิบยกสิ่งที่เด็กหญิงคุ้นเคย“พี่มีรูปทุ่งทานตะวันพอดีเอาไปดูซิครับ เก็บไว้เลยก็ได้ไม่ต้องคืน” แล้วบุคคลที่สามผู้เผอิญนั่งร่วมโต๊ะอยู่ก่อนก็เปิดกระเป๋าเงินพร้อมทั้งหยิบรูปถ่ายทุ่งทานตะวันใบเล็กๆยื่นให้“ขอบคุณมากค่ะ แต่คงรับไม่ได้หรอกค่ะ คุณเอาคืนไปเถอะ” มุฑิตาตัดสินใจปฏิเสธ หลังจากใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีตรึกตรอง รูปถ่ายที่เก็บในกระเป๋าสตางค์คงเป็นรูปสำคัญ แว๊บไปเห็นนางแบบสาวสวยกลางทุ่งทานตะวันในรูปแล้วก็ออกจะเกรงใจ สงสัยจะเป็นรูปแฟน แล้วเที่ยวเอามาให้ใครเขาทั่วแบบนี้ ถ้าแฟนรู้เข้าจะไม่น้อยใจหรือ“ขอบคุณมากค่ะ แต่น้องดาวมองไม่เห็นหรอกค่ะ น้องดาวตาบอด” เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเสียงใสตัดกับความหมายของข้อความ“คือน้องดาวแกตาบอดมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ” ฝ่ายคุณครูเห็นชายหนุ่มผู้มีน้ำใจเบิกตากว้างทำหน้างุนงงเลยอธิบายเสริม“อ้าวเหรอครับ พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจ…” พงศ์ประภานึกเสียใจจริงๆ ที่ไปจี้จุดเด็กหญิงเข้าให้ แม้จะไม่เห็นหนูน้อยสลดก็เถอะ ลองพิจารณาไปที่ตาใสๆของแม่หนู เอ้อ...ถ้าจะจริงแฮะ แต่ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าตาบอด“ครูมุขา แล้วที่เขาว่ามัน ส๊วย สวย เป็นยังไงเหรอคะ ” หนูน้อยยังคงถามทั้งที่ปากเคี้ยวคุ๊กกี้ตุ้ยๆ ทำให้พงศ์ประภายิ่งนึกเวทนา ตาบอดตั้งแต่เกิดแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าความสวยมันเป็นอย่างไร แต่ในไม่นานเขาก็ต้องตะลึ่งกับวิธีอธิบายความสวยของดอกทานตะวันที่แปลกประหลาดที่สุดเริ่มแรกหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าครูมุกล่าวขอยืมจานรองถ้วยกาแฟร้อนของเขา เอาไปให้เด็กหญิงลูบคลำ “น้องดาวลองจับนี่ดูนะคะ ดอกทานตะวันกลมๆแบนๆแบบนี้ ไม่ใช่กลมแบบลูกบอล” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะนึกออกอย่างนั้นแหละ“เวลาเรามองแล้วเห็นดอกทานตะวันบานเต็มทุ่งจะให้ความรู้สึกสดชื่น เหมือนเวลาน้องดาวดื่มน้ำหวานๆเย็นๆไงคะ” แล้วครูสาวก็หยิบหลอดที่แช่ในโกโก้เย็นของเด็กหญิงใส่ปากหนูน้อยเพื่อให้ดูดสะดวก “เป็นไงคะ ชื่นใจไหม”“ชื่นนนนนน จายยยยย ค๊ะ” หนูน้อยตอบร่าเริง“ดอกทานตะวันมีสีเหลืองเลยทำให้มันเหมือนพระอาทิตย์ที่มีหน้าที่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างแก่คนบนโลก เวลาเราเห็นดอกทานตะวันเราจะรู้สึกอบอุ่นและมีความหวังเสมอ” คราวนี้อาจารย์สาวเอามือข้างหนึ่งกุมมือน้อยๆของลูกศิษย์อย่างทะนุถนอม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กๆอย่างอ่อนโยน “เหมือนกับที่ครูเพื่อนๆแล้วก็พ่อแม่ของน้องดาวคอยเอาใจช่วยน้องดาวเวลาประกวดสุนทรพจน์ไงคะ ไม่ว่าน้องดาวจะชนะหรือไม่ก็ตาม ขอแค่น้องดาวทำให้ดีที่สุดก็พอ เมื่อทำดีที่สุดแล้วสักวันน้องดาวก็จะสมหวังอาจไม่ใช่ครั้งนี้แต่ก็ยังมีครั้งหน้า”“น้องดาวชอบดอกทานตะวันจังเลยค่ะครูมุ ส๊วย สวย” แม่หนูหลับตาพริ้มยิ้มละไมเหมือนกับกำลังฝันเห็นดอกทานตะวันจริงๆ “ที่น้องดาวว่าสวย สวยแบบไหนครับ” หลังจากที่นั่งนิ่งๆฟังคำอธิบายของครูสาวมานาน พงศ์ประภาก็เอ่ยขึ้นบ้าง “สวยเพราะทำให้สดชื่น แล้วก็ทำให้ไม่กลัวไงคะ”“ไม่กลัวอะไรครับ?”“ไม่กลัวที่จะตาบอด แล้วก็ประกวดพูดแพ้” หนูน้อยตอบใสซื่อก่อนจะก้มดูดโกโก้เย็นอีกครั้ง แต่คำตอบแบบง่ายๆของเด็กหญิงกลับกระทบใจคนถาม จริงซิ…บางทีคนตาบอดอาจเห็นอะไรมากกว่าคนตาดีก็ได้“ความสวยของคนที่มองไม่เห็นต่างกับคนที่มองเห็นค่ะ ในเมื่อแกไม่สามารถใช้สายตาได้เราจึงต้องพยายามให้แกใช้ความรู้สึกสัมผัสเอา” ครูสาวอธิบายเพราะนึกว่าชายหนุ่มคงสงสัยกับวิธีการสอนของตัว“ถ้าเป็นแบบที่คุณครูอธิบาย ก็หมายความว่าคนตาบอดใช้ประสาทสัมผัสทางใจได้ดีกว่าคนตาดีที่มักจะดูเพียงรูปภายนอก แต่ไม่มองให้ลึกถึงข้างใน”“พี่ว่าครูมุของน้องดาวสวยไหมคะ?” จู่ๆ เด็กหญิงก็ถามขึ้น เล่นเอามุฑิตาหน้าแดง จะไม่แดงได้ยังไงล่ะก็ผู้ชายตรงหน้าออกจะดูดี ส่วนตัวเองทั้งเชยเฉิ่มหน้าตาก็จืดชืด แล้วยัยลูกศิษย์แก่แดดยังไปถามเขาแบบนั้นอีก“น้องดาวอย่าไปจู้จี้พี่เขามากซิคะ” ครูสาวดุลูกศิษย์แก้เก้อพลางหยิบคุกกี้ป้อนใส่ปากเด็กหญิงซะเลยจะได้ไม่พูดมาก
พงศ์ประภารู้ทันว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังเขิน พวงแก้มเนียนที่ไร้เครื่องสำอางแดงระเรื่อ นึกอยากจะนั่งพิจารณาความสวยของเธอ แต่ครั้นจะมองนานก็กลัวครูมุของน้องดาวจะเขินไปกันใหญ่ ชายหนุ่มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว “แล้วน้องดาวว่า ครูมุของน้องดาวสวยไหมล่ะครับ” ในเมื่อไม่กล้าตอบคำถามหนูน้อยเลยอ้อมๆถามคืนซะเลย“ครูมุสวยที่สุดเลยค่ะ ใจดี๊ดี สวยกว่านางงามด้วยนะคะ”“ครูจะสวยกว่านางงามได้ยังไงคะ น้องดาวเหลวไหลใหญ่แล้ว” ว่าแล้วก็อยากหยิกแม่ลูกศิษย์ตัวแสบนักเชียว นึกถึงรูปแฟนสาวของเขาที่ความสวยของเธอคนนั้นนำลิ่วไปแบบไม่เห็นฝุ่น ก็แสนจะขายหน้า“ครูพูดชัดกว่า เสียงหวานกว่า แล้วก็ใจดีกว่า อย่างพวกที่ประกวดนางงามที่ชอบบอกว่ารักเด็ก แต่น้องดาวไม่เห็นรู้สึกเลยว่าเขารักน้องดาว เคยมีนางงามมาที่โรงเรียนด้วยนะคะพี่มากอดๆหอมๆอยู่วันนึง แล้วก็ไม่มาอีกเลย“น้องดาวมองไม่เห็นเขา ก็เลยไม่รู้ซิคะว่านางงามสวยขนาดไหน ครูมุน่ะไม่สวยหรอกค่ะ”“แต่ผมว่าน้องดาวแกพูดถูกแล้วนะครับ เพราะน้องดาวมองความสวยไม่เหมือนที่คนปกติมอง ครูมุที่ใจดีกับแกก็เลยเป็นคนสวยในความคิดแกไงล่ะครับ” ตอบไปแบบนี้คงดีที่สุดแล้วนะ เธอคนนั้นจะได้ไม่เขิน เอาเป็นว่าเราเห็นด้วยกับน้องดาวที่ชมว่าครูสวย เราไม่ได้พูดเองซะหน่อยนี่ความจริงแม้คุณครูคนนี้จะดูตกสมัยไปบ้างทั้งการแต่งตัวที่แสนมิดชิด กริยารักนวลสงวนตัวเหมือนหญิงไทยโบราณ แต่ดวงหน้าเนียนกับตาซื่อใสไร้สารเคมีพร้อมร่างเล็กๆที่ไม่ได้ผอมจนเหมือนขาดสารอาหารแบบที่คนสมัยนี้นิยมกัน ทำให้พงศ์ประภาอดนึกไม่ได้ว่าถ้าเธอคนนี้ห่มสไบเฉียงแล้วบอกว่าอยู่ยุคเดียวกับ แม่พลอยแห่ง สี่แผ่นดิน นะ ใช่เลย!ฝ่ายมุฑิตากลับตีความคำพูดของชายหนุ่มไปอีกแบบหนึ่ง อ๋อ นี่เขาคงจะบอกเรากลายๆ แบบสุภาพว่า อย่างเราน่ะสวยได้แค่ในสายตาของคนตาบอดเท่านั้น ใช่ซิก็ตัวเองมีแฟนสวยนี่ ว่าแล้วครูสาวก็เผลอขวางค้อนไปโดยไม่รู้ตัวทั้งคนขวางและคนรับ“น้องดาวกลับบ้านกันเถอะลูก” เหมือนมีระฆังหมดยก เมื่อพ่อของลูกศิษย์เสร็จธุระมารับตัวลูกสาวคืน ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะตอนนี้มุฑิตารู้สึกว่าใจเต้นแรงพิกล หน้าก็ร้อนๆเย็นๆ ถ้าต้องนั่งเผชิญหน้ากับคนคนนี้ต่อก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี“เย็นแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งคุณครูนะครับ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยดูแลน้องดาวให้” แล้วคุณพ่อของเด็กหญิงดวงดาวก็จัดการชำระเงินกับบริกรระหว่างที่รอเงินทอนเด็กหญิงกระพุ่มมือไหว้พร้อมกล่าวอำลาชายหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย “น้องดาวกลับบ้านก่อนนะคะพี่ ขอบคุณมากค่ะที่ให้น้องดาวนั่งด้วย”“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ….แล้ว...น้องดาวจะมาที่นี่อีกไหมครับ” พลั้งปากไปแล้วพงศ์ประภาก็ละอายกับคำถามแบบงี่เง่าของตัวเอง เด็กที่ไหนจะรู้จักมาร้านกาแฟ ถ้าไม่มากับผู้ใหญ่“ถ้าน้องดาวเข้ารอบอีกสองวันก็ต้องมาแข่งอีกค่ะ ใช่ไหมคะครูมุ?”“แหะๆ ถ้าน้องดาวเข้ารอบ ผมคงต้องรบกวนคุณครูมาช่วยดูแกหน่อย ผมจะเอาแกมาส่งที่มอ. เหมือนวันนี้นะครับ แล้วตอนเย็นก็จะมารับกลับที่นี่ ไม่อยากขับรถเข้าในมอ. หาที่จอดยาก”“ไม่เป็นไรค่ะ” มุฑิตายิ้มรับ นักธุรกิจก็อย่างนี้งานยุ่งตลอด แต่เด็กหญิงดวงดาวก็ยังโชคดีกว่าเด็กพิเศษคนอื่นๆตรงที่พ่อกับแม่มีฐานะและเอาใจใส่ลูกดี ตอนนี้คุณแม่เพิ่งคลอดน้องคนใหม่เลยมาดูแลลูกเองไม่ได้ ยังมีลูกศิษย์คนอื่นๆที่พ่อแม่เห็นว่าความผิดปกติของลูกเป็นเรื่องอับอาย งานของมุฑิตาไม่เพียงช่วยเหลือเด็กพิเศษเหล่านี้ให้อยู่ร่วมกับคนในโลกปกติได้เท่านั้น ยังต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ปกครองเด็กอีกด้วย เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ก็อิ่มใจเมื่อได้เห็นเด็กๆที่เกิดมาโชคร้ายกว่าคนอื่นมีรอยยิ้มหลังจากที่ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสองได้จากไปพงศ์ประภาก็กลับมาให้ความสนใจกับเอสเปรสโซ่แก้วเล็ก ตอนนี้มันเริ่มจะเย็นเพราะเจ้าของมั่วแต่เพลินคุยเพลินฟัง ยกขึ้นมาจิบ เอ๊ะ! ทำไมวันนี้มันขมจังหรือเพราะมันเย็น ว่าแล้วชายหนุ่มก็เรียกบริกรมาเอาไปทำให้ร้อนดีกว่า“ทำให้ร้อนน่ะได้ครับแต่ความหอมและสดของมันจะหายไป ถ้าคุณไม่รังเกียจผมจะยกไปอุ่นให้” บริกรอธิบาย“ไม่เป็นไร คือผมรู้สึกว่ามันขมๆ เผื่อร้อนแล้วจะดีขึ้น ขอน้ำตาลด้วยนะครับ” “เอ! ความจริงเอสเปรสโซ่ร้อนที่คุณสั่งก็เป็นสูตรนี้ทุกครั้งนี่ครับ หรือว่าคุณจะเบื่อ ถ้าอยากดื่มแบบหวานบ้างขมบ้างขอผมแนะนำ seasons change ครับ เป็นเมนูแนะนำเราเพิ่งคิดขึ้นมา คือตรงก้นแก้วจะเป็นนมข้น แล้วเอสเปรสโซ่จะอยู่ด้านบน เวลาทานไม่ต้องคนนะครับ ดื่มไปเรื่อยๆพอเหลือนมข้นก็เอาปาท่องโก๋จิ้ม เราจะเสริฟพร้อมปาท่องโก๋น่ะครับ เอาเป็นผมจะไม่คิดราคาเพิ่ม เพราะเดี๋ยวเอาแก้วนี้ไปทำให้ได้ครับ”เมื่อพงศ์ประภาตอบตกลงสักพักบริกรก็นำกาแฟมาเสริฟด้วยแก้วใสทรงตรง ชั้นล่างสุดเป็นสีขาวข้นของนม ตรงกลางออกเป็นสีน้ำตาลเพราะเป็นส่วนที่นมกับกาแฟเจอกัน ด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนออกดำของเอสเปรสโซ่เพื่อนเก่าชายหนุ่มเริ่มละเลียดกำแฟขมด้านบน จากนั้นรสกาแฟก็เริ่มหวานขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งน้ำกาแฟหมดเหลือนมข้นข้างล้าง แล้วพงศ์ประภาก็เอาปาท่องโก้มาจิ้ม รสหวานมันโดดเด่นทำให้นึกไปถึงกาแฟโบราณของพวกอาแปะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมมันจึงมีชื่อว่า seasons change ก็เพราะในหนึ่งแก้วมีกาแฟสามรสด้วยกัน เริ่มจากกาแฟดำ แล้วก็กาแฟใส่นม จากนั้นก็นมหวานๆ บางทีเจ้านี่อาจเลื่อนมาเป็นแก้วโปรดที่เขาจะสั่งอย่างน้อยก็ในอีก 2 วันข้างหน้า…เมื่อได้เวลาชายหนุ่มก็ออกจากร้านไปด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาบริกรหน้าตี๋ถึงกับงงแอบซุบซิบกับคนชงกาแฟ “เฮ้ย รุตต์ สงสัย seasons change สูตรที่แกคิดจะขายดีว่ะ ทำเอาพี่หน้าหล่อ ที่ชอบทำหน้าขมยิ่งกว่าเอสเปรสโซ่ ยิ้มได้ เจ๋งไปเลย….”



bloggang.com

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดวงไฟในสายฝน 1




แม้สายฝนภายนอกโปรยปรายลงมาไม่ขาดตอน หากภายใน ‘ร้านไออุ่น’ ยังคงมีแขกนั่งประปราย ชายวัยกลางคนสองคนจับจองที่นั่งตรงโต๊ะกลางร้านพร้อมกาแฟดำกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างเบาๆ เด็กสาวในเครื่องแบบนักศึกษาคู่หนึ่งคุยกันกระหนุงกระหนิงเคล้าไอศครีมอยู่โต๊ะริมหน้าต่างค่อนมาทางประตู หญิงสาวในชุดทำงานนั่งโต๊ะถัดมาเพลิดเพลินกับคาปูชิโน่ปั่นและหนังสือเล่มเล็กๆและชายหนุ่มในเชิ๊ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดละเลียดเอสเปรสโซ่ร้อนที่โต๊ะริมหน้าต่างมุมในสุดบริกรในชุดฟอร์มพร้อมเอี๊ยมกันเปลื้อนสีสุภาพยืนคอยให้บริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้เหนื่อย ทั้งยังมีเสียงนุ่มราวฟองนมของดีเจหนุ่มจากคลื่นวิทยุยอดนิยมทำให้บรรยากาศในร้านกาแฟเล็กๆไม่เงียบเหงาเกินไป“ฝนตกอีกแล้วนะครับ เรามาฟังเพลงเข้ากับบรรยากาศกันดีกว่า...แหม! ไม่รู้ทำไมฝนตกทีไรผมนึกถึงเพลงนี้ทุกที”ทันทีที่เสียงทุ้มหายไปดนตรีอินโทรซึ้งๆก็ค่อยๆกังวาล...พร้อมๆกับท้องฟ้าภายนอกทวีความดุดันผู้คนวิ่งกันจ้าละหวั่นเมขลาคงเริ่มล่อแก้วอีกเช่นเคย แล้วรามสูรก็ขว้างขวาน...เปรี้ยง!ในเวลาเดียวกันนั้นเองหญิงสาวร่างระหงในชุดกระโปรงสีแดงกำมะหยี่เนื้อผ้าและรูปแบบบ่งบอกถึงความมีรสนิยมและราคาที่แพงลิ่วก็ปรากฏกายขึ้น เธอผลักประตูกระจกเข้ามาในร้านอย่างเร่งรีบพลางสำรวจไปรอบๆเหมือนจะมองหาใคร ผู้มาใหม่ทำให้ทุกคนในร้านจ้องตะลึงด้วยความงามที่ดอกไม้ได้ฝนยังสะท้านอาย ผิวผ่องนวลเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ วงหน้ารูปไข่โค้งละมุนถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางเนื้อละเอียดเน้นให้ดวงหน้าที่มีโครงสร้างได้รูปอยู่แล้วผุดผาดยิ่งขึ้น ยังดวงตาหวานซึ้งที่กำลังสอดส่ายไปทั่วร้านจนกระทั่งหยุดที่ โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด แล้วเธอก็เริ่มเดินไปที่นั่นอยากจะลืมใครสักคน เมื่อหยาดฝนพร่างพรมพริ้วมา สายน้ำที่ร่วงหล่น ปนเคล้าหยาดน้ำตา กลับไปคิดถึงคราแรกที่เราพบกัน“สงสัยมาหาผู้ชายคนนั้น” หนึ่งในนักศึกษาสาวพึมพำบอกเพื่อนริมฝีปากอิ่มรูปกระจับแย้มยิ้มทำให้นัยน์ตาคมสวยพลอยวาวระยับ เสียงฟ้าร้องขาดหายไปไม่แน่รามสูรอาจจะเปลี่ยนใจจากลูกแก้วของนางเมขลามาหลงใหลดวงดาวระยิบทั้งคู่ของเธอคนนี้“ขอโทษทีนะ โคม พอดีฝนตกรถเลยติด ม๊าก มาก คงไม่ว่ากันนะจ๊ะ” เสียงหวานใสที่มีกระแสเว้าวอนนั่นทำให้หัวใจบุรุษในร้านไออุ่นทั้งแขกและบริกรหวั่นไหว ต่างลงความเห็นโดยไม่นัดหมายว่า ใครหนอจะโกรธสาวงามคนนี้ได้ลงคอมรสุมที่หาดสีทอง นำเราสองให้ปองรักกัน ฟ้าคำรามเธอกลัว ตัวของเราหนาวสั่น สื่อดวงตาสัมพันธ์ อบอุ่นนักสองเรา“พลอยคงไม่รบกวนเวลาของโคมมากนักหรอกแค่อยากให้โคมช่วยรับนี่ไว้หน่อย”หลังจากที่เอาแต่นั่งนิ่งชายหนุ่มในเชิ้ตขาวผู้ถูกเรียกว่าโคมก็ค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมองหญิงสาวเบื้องหน้าแล้วมองเลยไปยังสิ่งที่เธอผู้นั้นส่งให้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อะไร?”“เอ่อ...โคมดูเองดีกว่านะ”


ความรักเราเคยสดชื่น แล้วใยแปรเป็นอื่น เหลือแต่ความขื่นขมระทม เมื่อลมพายุหอบฝนมา เธอไม่ยอมบอกเหตุผลใดๆ ปล่อยฉันไว้กลางฝนหลังจากพิจารณาสิ่งนั้นแล้วโคมก็ตั้งคำถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม “เอามาให้ทำไม?”“เพราะโคมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพลอยน่ะซิจ๊ะ พลอยอยากเห็นโคมในวันนั้น” ดวงหน้าหวานยังคงยิ้มพรายมาบัดนี้ยามฟ้าสีหม่น ราวกับดลให้ตรมฤทัย รู้เป็นเพียงอากาศ แต่ไม่อาจห้ามใจ อยากมีเธอชิดใกล้ แต่เธอคงไม่คืน เปรี้ยง! เสียงอสนีบาตฟาดฟันมาอีกครั้ง คราวนี้แผลงฤทธิ์ให้ไฟฟ้าในร้านดับพรึบ“ว้าย! ตายแล้ว พลอยไม่ชอบเลย ฝนตกลมแรงแล้วมืดๆ แบบนี้”“หึ! เหมือนตอนเราเจอกันครั้งแรกที่คณะไง ฝนตก ไฟดับ ดึกกว่านี้อีก นี่แค่โพล้เพล้เอง” คราวนี้ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดเป็นแนวตรงเหมือนจะยิ้มแต่หากมีแสงสว่างกว่านี้จะเห็นว่ามีรอยเย้ยหยันสะท้อนในแววตา“รับนี่ไปแทนก่อนนะครับ เจ้าหน้าที่ไปดูแล้ว เขาว่าแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ติด ระบบตัดไฟตกใจเสียงฟ้าผ่ามั้งครับ” บริกรหนุ่มหน้าทะเล้นพูดติดขำขันหวังให้ลูกค้าอารมณ์ดีขึ้น พร้อมทั้งวางโถแก้วที่มีเทียนดอกกุหลาบสีแดงเข้มลอยน้ำไว้กลางโต๊ะร้านไออุ่นจึงได้อาศัยแสงเทียนจากโถแก้วที่ถูกนำไปวางไว้ตามโต๊ะและมุมต่างๆทั่วร้าน แม้ไม่ถึงกับจัดจ้าเหมือนแสงไฟหรือแสงตะวันซึ่งตอนนี้เริ่มล้าลงมากซ้ำยังถูกเมฆสีคล้ำบดบัง แต่ก็ระยิบอ่อนหวานพอจะพึงพิงได้ยามไฟฟ้าขัดสน“แบบนี้ก็โรแมนติกดีเหมือนกันนะน้อง” หญิงสาวในชุดทำงานกล่าวกับบริกรพลางวางหนังสือในมือลง หันมาดื่มด่ำกับบรรยากาศแปลกใหม่ของร้านกาแฟเล็กๆ“ไม่รู้ทำไมพอไฟดับพลอยกลัวขึ้นสมองทุกที ทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นถ้าไม่ได้โคม พลอยต้องแย่แน่ๆเลย” สาวสวยนามว่าพลอยยังคงดำเนินบทสนทนาต่อไป “โคมจ๋าต้องเข้าใจนะตอนนี้พวกเราโตขึ้น ไม่ใช่นักศึกษาอีกต่อไปแล้วถึงอะไรๆจะเปลี่ยนไป...แต่โคมก็ยังเป็นคนสำคัญสำหรับพลอยเสมอ”พรึบ! ไฟฟ้าทั่วร้านสว่างขึ้น เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุทำงานได้อีกครั้ง คราวนี้ไม่รู้ว่าดีเจเกริ่นนำอย่างไรเพราะไฟฟ้ามาพร้อมกับเพลงที่เล่นมาแล้วเกือบครึ่งเดินผ่านกลางคืนมาถึงกลางวัน กลับหันสะบัดมือเดินหนีไป เมื่อเธอพบตะวันส่องแสงแรงไกล ก็เลยทิ้งดวงไฟส่องทาง เธอไม่กลัวอ้างว้าง จึงจากฉันไปพลอยรีบเอามือพัดเทียนจนดับพลางบ่นอุบ “เฮ้อ!ติดซะที รำคาญจะตายไอ้เทียนเนี่ย ควันเย๊อะ เยอะ...แสบตา”“ที่ว่าสำคัญ…มากกว่าเจ้าบ่าวรึเปล่า ล่ะ?” โคมยิงคำถามด้วยสีหน้าปกติ“แหม!โคมก็ มีอารมณ์ขันเสมอเลยนะ” หญิงสาวไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือมาบีบจมูกของชายหนุ่มตรงหน้าส่ายไปมาอย่างคุ้นเคย“ตกลงโคมไปนะจ๊ะ ไม่รู้ล่ะยังไงก็ต้องไป งานช่วงเช้าพวกพิธีรีตองอะไรเนี่ยไม่ต้องไปก็ได้ แต่ตอนค่ำต้องไปให้ได้นะ” พลอยเร่งสรุปพลางพลิกดูนาฬิกาข้อมือเรือนหรู“พลอยต้องไปแล้วล่ะ ให้คนขับรถ‘เขา’พามานะเนี่ย เดี๋ยวต้องไปแวะรับเขาที่ออฟฟิศไปงานเลี้ยงต่ออีก แล้วเจอกันนะจ๊ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็พาร่างบางระหงเดินออกจากร้านไออุ่นอย่างสง่างามกัดฟันฝืนใจทน เหตุผลเธอมี เจ็บคราวนี้จะยอมข่มใจ มองภาพเธอเดินหายไปจากสายตา สายฝนภายนอกหยุดโปรยปรายเมฆก้อนคล้ำเลือนหายไปแล้ว เผยให้แห่งแสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงตะแต้มด้วยแสงสีม่วงอมชมพูระบายเต็มท้องฟ้า นักศึกษาสาวทั้งสองชี้ชวนกันดูปรากฏการณ์นั้นอย่างร่าเริง หญิงสาวในชุดทำงานจดบันทึกอะไรสักอย่างลงสมุดเล่มเล็ก ชายวัยกลางคนทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มเพิ่มกับบริกรหน้าตี๋ซึ่งยิ้มรับจนตาหยีอย่างเต็มใจบริการสุดชีวิต ชายหนุ่มในเชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดเรียกบริกรหนุ่มคนที่เคยนำโถเทียนมาให้เก็บเงินก่อนจะออกจากร้านโดยมีการ์ดสีชมพูถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ เจ้าตัวอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจลืมไม่มีใครรู้ บริกรนิ่วหน้าก่อนจะทำความสะอาดโต๊ะเก็บแก้วกาแฟแล้วนำสิ่งนั้นทิ้งลงถังขยะ“ฝนหยุดตกแล้วนะครับ อากาศกำลังดีทีเดียวเลย...ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เปียกฝนด้วยเพลงนี้ครับ” ดีเจเสียงหล่อกลับมาทักทาย แล้วเสียงดนตรีใสๆก็บรรเลงขับกล่อมทุกชีวิตในร้านไออุ่นอีกครั้งอดทนเวลาที่ฝนพร่ำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ.....